“โกตดิวัวร์” คู่แข่งใหม่ยางไทย ถูกกว่า 5 บาท/กก.–ลุ้น EUDR ช่วยดันราคา
ประเทศในทวีปแอฟริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศอย่าง“โกตดิวัวร์” หรือชื่อเดิม“ไอวอรี่โคสต์” กำลังกลายเป็นคู่แข่งที่น่าจับตามองในตลาดยางพาราโลก แม้ว่าไทยและอินโดนีเซียจะเป็นผู้ผลิตยางพารารายใหญ่ แต่โกตดิวัวร์ได้มีการขยายพื้นที่ปลูกยางพาราต่อเนื่องและแซงเวียดนามขึ้นเป็นอันดับ 3 ของโลกไปเรียบร้อยแล้ว โดยมีความได้เปรียบทั้งต้นทุนและโลจิสติกส์ที่อยู่ใกล้ตลาดนำเข้ามากกว่าไทย
นายบัณฑิต เกิดวงศ์บัณฑิต ประธานกรรมการบริหารบริษัท วงศ์บัณฑิต จำกัด หนึ่งในผู้ส่งออกยางพารารายใหญ่ เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัจจุบันสภาพการแข่งขันอุตสาหกรรมยางพารา นอกจากจะต้องไปต่อสู้กับประเทศอินโดนีเซียและมาเลเซียแล้ว ยังต้องต่อสู้กับผู้ผลิตและส่งออกจากทวีปแอฟริกา ที่เวลานี้มีหลายประเทศปลูกยาง โดยมีผลผลิตรวมกันกว่า 2 ล้านตัน โดยสัดส่วน 60-70% มาจากโกตดิวัวร์โดยมีความได้เปรียบเรื่องต้นทุนที่ตํ่ากว่า และขายตํ่ากว่าไทยเฉลี่ย 2-5 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) เนื่องจากพื้นที่แอฟริกาปลูกแบบคอนแท็กซ์ฟาร์มมิ่งเป็นส่วนใหญ่
ขณะที่ยังมีความได้เปรียบทำสวนยางภายใต้มาตรการ EUDR (ยางพาราที่ต้องได้รับการรับรองและตรวจสอบว่าไม่ส่งผลกระทบต่อการทำลายป่าของยุโรป)ที่สามารถชี้แจงและตรวจสอบย้อนกลับได้และยังอยู่ใกล้ตลาดยุโรป
“แนวโน้มสถานการณ์ยางพาราครึ่งหลังปี 2568 ตอบยากมาก แต่คาดว่าราคาไม่น่าจะลดลง เพราะแต่ละประเทศรู้แล้วว่าอัตราภาษีที่สหรัฐจะเรียกเก็บจากประเทศคู่ค้าอยู่ที่เท่าไร และสภาพเศรษฐกิจก็ไม่น่าจะยํ่าแย่ไปมากกว่านี้ เพราะผ่านพ้นจุดวิกฤตมาแล้ว ราคายางไม่น่าจะปรับฐานลงไปมากกว่านี้แล้ว แต่ถ้าจะบอกว่าราคาจะปรับสูงก็เกรงว่าเป็นการให้ความหวังกับชาวสวนมากเกินไป”
อย่างไรก็ดีในส่วนของ EUDR หรือ European Deforestation Regulation เป็นกฎหมายของสหภาพยุโรปที่กำหนดให้สินค้าที่นำเข้าสู่สหภาพยุโรปต้องปลอดจากการทำลายป่า โดยครอบคลุมสินค้า 7 กลุ่ม ได้แก่ ไม้, ยางพารา, ปาล์มนํ้ามัน, โกโก้, กาแฟ, ถั่วเหลือง, และวัว รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสินค้าเหล่านี้ เป็นปัจจัยสำคัญ เพราะทั่วโลกที่เกี่ยวข้องกับสินค้าข้างต้นรอกันอยู่ว่าจะอย่างไร ถ้าเดินหน้าจะทำให้ราคายางขยับขึ้น
“ปัจจุบันมีลูกค้ายุโรปบางรายก็ซื้อมาโดยตลอด เพราะคาดการณ์ว่าการบังคับใช้มาตรการ EUDR จะไม่เลื่อนการบังคับใช้(จากที่เลื่อนมา และจะมีผลบังคับใช้ 30 ธ.ค. 68) แต่ก็มีลูกค้าบางรายที่ไม่ได้อยู่ในยุโรป ก็รอดูท่าทีหากประกาศชัดเจน ก็สามารถสั่งซื้อในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม เพราะยังซื้อทัน ส่วนภาษีสหรัฐที่จะเก็บจากสินค้าไทย 19% ตลาดก็ไม่ได้ตกใจ ราคาก็นิ่ง ตลาดหุ้นก็เงียบ สาเหตุมาจากสิ่งที่ทุกคนคาดการณ์ไว้”
ด้าน สมาคมประเทศผู้ผลิตยางธรรมชาติ ( ANRPC) คาดว่าในปี 2568 จะมีปริมาณการส่งออกยางของโลก ในกลุ่มประเทศสมาชิกรวมทั้งสิ้น 10.159 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.21 จากปีที่ผ่านมา และคาดว่าประเทศไทย จะส่งออกยางพาราไปยังตลาดโลกในปี 2568 ได้ 4.245 ล้านตัน รองลงมา คือ เวียดนาม และอินโดนีเซียคาด จะส่งออกได้ 2.012 ล้านตัน และ 1.690 ล้านตัน ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบสัดส่วนการส่งออก ยางพาราในปี 2567 พบว่า ไทยมีสัดส่วนการส่งออกยางพาราสูงถึงร้อยละ 40.01 ของปริมาณการส่งออกยางพาราของโลก ตามด้วยเวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย เป็นต้น
อนึ่ง สำนักงานตลาดกลางยางพารา จังหวัดสงขลา รายงานสถานการณ์นํ้ายางสด ณ โรงงาน(ณ วันที่ 8 ส.ค. 2568) อยู่ที่ 54 บาทต่อ กก. , ยางแผ่นรมควันชั้น 3 อยู่ที่ 61.20 บาทต่อ กก., ยางแผ่นดิบ 58.65 บาทต่อ กก. ส่วนตลาดโตคอมของญี่ปุ่น ส่งมอบเดือนกันยายน 2568 เปิดตลาดอยู่ที่ 321.9 เยนต่อ กก.เท่าเดิมและส่งมอบเดือนมกราคม 2569 อยู่ที่ 317.7 เยนต่อกิโลกรัม เพิ่มขึ้น กก.ละ 0.6 เยน และตลาดไซคอมของสิงคโปร์ ส่งมอบเดือนกันยายน 2568 ปิดตลาดที่ กก.ละ 217.50 เซนต์สหรัฐ เท่าเดิม
หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,122 วันที่ 14 - 16 สิงหาคม พ.ศ. 2568