สำรวจเหตุผลที่หนังเก่าสุดตราตรึงใจในอดีต ถูกนำมาสร้างใหม่อีกครั้งในปัจจุบัน
หนังเรื่องเดิมที่เคยดูตอนเด็ก ผ่านไปไม่ทันไรก็ได้ข่าวว่าจะนำกลับมาทำใหม่อีกแล้ว
พูดถึงหนังคลาสสิก แต่ละคนก็อาจจะมีภาพจำที่ต่างกันไป เพราะหนังดังที่เคยประสบความสำเร็จมักถูกนำกลับมาเล่าใหม่อยู่บ่อยๆ
ไม่ใช่แค่หนังเท่านั้น แต่การรีเมค หรือนำกลับมาทำใหม่อีกครั้ง เป็นสิ่งที่เราเห็นได้จากสื่อบันเทิงทั้งแบบละครโทรทัศน์หรือละครเวทีอยู่บ่อยๆ หากจะไล่เรียงจริงๆ นิ้วที่มีก็อาจจะนับไม่พอ ไม่ว่าจะเป็น สุสานคนเป็น กรงกรรม คู่กรรม หรือฟ้าจรดทราย เดอะมิวสิคัล และอีกหลากหลายเรื่องที่ยังคงวนเวียนอยู่ในสื่อ เรียกได้ว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เรื่องราวที่เราเห็นในวัยเยาว์ ก็มักจะกลับมาโลดแล่นอีกครั้งได้เสมอ
ทั้งๆ ที่ก็มีบทละครร่วมสมัยเกิดขึ้นใหม่ๆ มากมาย แต่ทำไมเหล่าผู้สร้างต้องหยิบเอาเรื่องราวเก่าๆ กลับมารีเมคอีกครั้ง วันนี้เราเลยอยากชวนไปดูว่าสิ่งนี้สะท้อนให้เห็นอะไรบ้าง ทุกวันนี้มีแต่หนังรีเมคจริงไหม แล้วการดูหนังเหล่านี้ส่งผลยังไงกับใจเราบ้าง
แบบไหนกันที่เรียกว่ารีเมค
แม้ว่าที่ผ่านมาเราจะเห็นเรื่องราวที่เราคุ้นเคยดีนำกลับมาฉายใหม่อีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้หมายความทุกเรื่องที่มีกลิ่นอายหรือตัวละครเดียวกันจะถือเป็นหนังรีเมคไปเสียหมด เพราะสำหรับวงการภาพยนตร์มักมีการแบ่งประเภทของการสร้างเรื่องราวแบบนี้แยกย่อยลงไปอีกมากมาย ประเภทหลักๆ ที่เราพบเจอได้บ่อยๆ คือ ‘Remakes’ ‘Reboots’ และ ‘Reimaginings’
ก่อนอื่นเราอยากชวนมาทำความเข้าใจความหมายของแต่ละคำกันก่อน ว่าหนังรีเมกที่เรากำลังพูดถึงคืออะไรกัน โดย Vox สื่อจากอเมริกา ได้อธิบายให้เห็นความแตกต่างของทั้ง 3 คำไว้ดังนี้
‘รีเมค (Remakes)’ ในภาพกว้างมักหมายถึงการนำหนังกลับมาทำใหม่ โดยยังคงโครงเรื่อง ตัวละคร และรูปแบบเดิมไว้เป็นหลัก ซึ่งอาจจะไม่เหมือนต้นฉบับ 100% ก็ได้ บางครั้งก็อาจมีการปรับเปลี่ยนบางอย่างเล็กน้อยเพื่อให้ร่วมสมัยมากขึ้น แต่โดยรวมแล้วทั้งเหตุการณ์ จุดเริ่มต้น และจุดจบมักคล้ายกับของเดิม
เราอาจจะเห็นได้บ่อยๆ ในหนังแนวสยองขวัญ หรือการรีเมคหนัง ละครจากต่างประเทศ เช่น Marry My Husband ซีรีส์จากเกาหลี ที่ถูกนำมาสร้างใหม่ในเวอร์ชั่นญี่ปุ่นเมื่อไม่นานมานี้ หรือ 50 first dates หนังต้นฉบับจากอเมริกัน ที่กำลังจะถูกนำมาทำเวอร์ชั่นไทย นอกจากนี้ยังมี King Kong ที่ถูกทำมาแล้วหลายเวอร์ชั่น
ในขณะที่ ‘รีบูต (Reboots)’ และ ‘รีอิแมจินิง (Reimaginings)’ มักหมายถึงการใช้แค่โครงเรื่องหรือตัวละครหลักเพียงเล็กน้อย มาสร้างใหม่ โดยการรีบูตที่มักใช้เพื่อขยายแฟรนไชส์ใหม่ โดยอาศัยชื่อเสียงของแบรนด์เดิม อย่างเรื่อง Spiderman หรือ Superman ที่มีการขยายนำมาใช้เพื่อขยายจักรวาลใหม่จากเนื้อเรื่องเดิม ในแบบที่ต่างไปจากเนื้อหาต้นฉบับเลยก็ได้ ส่วนรีอิแมจินิง คือรูปแบบหนึ่งของการรีเมค แต่มีการดัดแปลงสารสำคัญจากต้นฉบับไป เช่น เพิ่มการตีความใหม่ หรือเปลี่ยนจากแอนิเมชั่นเป็นไลฟ์แอ็กชั่น อย่าง กรณีของ Disney ที่สร้าง Cinderella หรือ Maleficent แม้เรื่องราวจะมาจากต้นฉบับเดิม แต่ก็มีการปรับเปลี่ยนมุมมองการเล่าให้ต่างออกไป
จะเห็นว่าการรีเมค แทบจะเป็นหนังที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก จึงมักถูกมองว่าเป็นหนังที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์น้อยที่สุดอยู่บ่อยๆ เพราะเพียงแค่หยิบวัตถุดิบเดิมมาปรุงใหม่เท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ยังเห็นว่าคอนเทนต์เหล่านี้มีทีท่าว่าจะหายไป แถมยังกลับเห็นมากขึ้นด้วย
เหตุผลของคนทำหนังรีเมค
ทั้งที่มีบทหนังใหม่ๆ มากมาย แต่ทำไมผู้ผลิตถึงยังคงรีเมคเรื่องเดิมกันนะ? เรื่องนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านภาพยนตร์ อย่าง แมธธิว โจนส์ (Matthew Jones) อาจารย์สอนวิชาภาพยนตร์ที่มหาวิทยาลัยเดอ มงฟอร์ต เมืองเลสเตอร์ ก็ได้อธิบายไว้ว่า จริงๆ แล้วการทำหนังรีเมคไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่พบได้ในวัฒนธรรมภาพยนตร์ตะวันตกตั้งแต่ยุคแรก หรือราว 1896 โดยบางช่วงเวลาอาจมีหนังรีเมคมาก-น้อยต่างกันไป แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ณ เวลานี้เรากำลังอยู่ในช่วงที่มีหนังรีเมคมากที่สุดช่วงหนึ่ง
เหตุผลหนึ่งของการทำหนังรีเมค คือเรื่องเงิน ปฏิเสธไม่ได้ว่าการสร้างภาพยนตร์ หรือละครสักเรื่องต้องใช้ทุนสร้างจำนวนมาก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ผู้ผลิตมักจะคาดหวังให้หนังของตัวเองประสบความสำเร็จ เพราะการสร้างหนังที่มีฐานผู้ชมที่ชื่นชอบเนื้อหาเป็นทุนเดิม จะช่วยให้ผู้ผลิตลดความเสี่ยงและสร้างรายได้ง่ายกว่าหนังที่ผู้ชมยังไม่รู้จักมาก่อน นอกจากนี้รายได้จากหนังรีเมค ยังอาจช่วยให้สตูดิโอมีงบเพิ่มเพื่อไปลงทุนกับโปรเจ็กต์ที่เสี่ยงกว่าด้วย
ผู้เชี่ยวชาญอธิบายเพิ่มว่า แม้การรีเมคจะเกิดขึ้นวนซ้ำไปมาตลอดร้อยปี แต่ส่วนใหญ่แล้วการรีเมคมักเพิ่มสูงขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เช่น หลังฟองสบู่แตก หลังเหตุการณ์ 9/11 วิกฤตการเงินปี 2008 หรือช่วงหลังโรคระบาดปี 2019 เพราะเมื่อคนรายได้น้อยลง ผู้ผลิตก็จำเป็นต้องลดความเสี่ยงและหันไปทำเรื่องที่มั่นใจว่าจะขายได้แน่นอนอย่างการรีเมคมากกว่า
แต่นอกจากเรื่องเงินแล้วก็ยังมีเหตุผลอื่นๆ เช่น การหวนนึกถึงช่วงเวลาเก่าๆ ลอเรน โรสวอร์น (Lauren Rosewarne) อาจารย์อาวุโสคณะสังคมศาสตร์และรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น อธิบายว่าหนังรีเมกช่วยปลุกความทรงจำดีๆ ของผู้ชม นั่นเลยทำให้การรีเมกมักประสบความสำเร็จได้อยู่ แถมการรีเมกยังช่วยทำให้ผู้ชมรุ่นใหม่ ได้สัมผัสเรื่องราวของคนก่อนหน้าในแบบของตัวเอง จนกลายเป็นประสบการณ์ร่วมกันของคนในสังคม ทำให้ทุกคนสามารถเชื่อมโยงกันได้ผ่านสื่อเหล่านี้ แม้จะเป็นคนละเวอร์ชันก็ตาม
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญ ก็ให้ความเห็นว่าบางครั้งการรีเมคก็อาจไม่ได้หมายถึงวิธีที่ไร้ความสร้างสรรค์ซะทีเดียว แง่หนึ่งมันก็ยังต้องใช้วิธีการเล่าที่ดึงดูดใจ และเพิ่มความร่วมสมัยเข้าไปจากเรื่องราวผู้ชมคุ้นเคยไปด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตก็ยังต้องบาลานซ์ระหว่างการหยิบของเดิมมาเล่าใหม่กับการสร้างเรื่องใหม่ๆ เพราะการรีเมคซ้ำๆ อาจกลายเป็นความเคยชิน จนไม่เหลือพื้นที่ให้เรื่องเล่าแบบอื่นๆ
ทำไมเราถึงอยากดูหนังรีเมคอีกครั้ง
หนังรีเมคมักมีองค์ประกอบที่เราเคยคุ้นเคย จึงทำให้หลายคนรู้สึกสบายใจที่ได้ดูหนังรีเมค นอกจากเพราะความคิดถึงแล้ว ยังทำให้เราได้สำรวจมุมมองใหม่ๆ ในเรื่องราวนั้นด้วย
ไวจ์นานด์ แวน ทิลเบิร์ก (Wijnand van Tilburg) อาจารย์ด้านจิตวิทยาและผู้เชี่ยวชาญด้านความถวิลหาอดีต (Nostalgia) แห่งมหาวิทยาลัยเอสเซ็กซ์ อธิบายว่า ความรู้สึกหวานปนขมของการโหยหาอดีต ช่วยให้เราผ่อนคลายจากความเหงา โดยเฉพาะช่วงเวลาที่รู้สึกไม่มั่นคงและความยากลำบากได้ เนื่องจากทำให้เรารู้สึกเชื่อมโยงกับคนอื่นได้มากขึ้น โดยเฉพาะความสัมพันธ์แบบพาราโซเชี่ยล (parasocial) หรือความผูกพันกับตัวละคร ซึ่งทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลง
นอกจากนี้การได้ดูหนังรีเมคช่วยทำให้เรารู้สึกปลอดภัยด้วย เพราะเป็นหนังที่เราคุ้นเคยจุดเริ่มต้น และจุดจบอย่างดี การได้ดูหนังรีเมคจึงเหมือนเป็นการพาเรากลับไปในบรรยากาศที่เราคุ้นเคย ซึ่งทำให้เรารู้สึกเหมือนได้กลับมาควบคุมสิ่งต่างๆ ได้อีกครั้ง
จะเห็นว่าหนังรีเมคหากสามารถดึงความรู้สึกเก่าๆ ที่คนดูเคยประทับใจกลับมาได้ ก็อาจช่วยให้หลายคนรู้สึกตกหลุมรักเรื่องเดิมในรูปแบบใหม่ได้ไม่ยาก แต่หากการรีเมคไม่สามารถทำให้คนดูคุ้นเคย ก็อาจสร้างความแปลกแยกให้กับคนดูได้เหมือนกัน
แล้วทุกคนละ มีหนังรีเมคเรื่องไหนที่อยู่ในใจกันหรือเปล่า
อ้างอิงจาก
Graphic Designer: Phitsacha Thanawanichnam
Editorial Staff: Paranee Srikham