ธุรกิจทีวี กอดคอเผชิญรายได้ โฆษณาลด! กระเทือนกำไรไตรมาส 2
ช่อง 3 หืดจับ กำไรต่ำ 20.9 ล้านบาท ลดลง 70.8%
บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ไตรมาส 2 มีรายได้ 1,031.4 ล้านบาท ลดลง 78.3 ล้านบาท หรือลดลง 7.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยรายได้จากการขายเวลาโฆษณายังเป็นสัดส่วนสำคัญ 71.4% และมาจากจากการขายโฆษณาของ “ช่อง 33” เป็นหลัก
ปัจจัยที่มีผลกระทบต่อธุรกิจ ยังมาจากภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ซึ่งไตรมาส 2 เศรษฐกิจไทยยังเผชิญกับความท้าทาย และได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก จากสงครามการค้า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง ส่วนภายในประเทศ การใช้จ่ายของภาคเอกชนมีข้อจำกัด ทั้งในส่วนของการบริโภคและการลงทุนที่มีทิศทางชะลอลง เป็นผลกระทบจากระดับหนี้ครัวเรือนในระดับสูง รวมถึงความไม่แน่นอนทางการเมือง และเกิดข้อพิพาทบริเวณชายแดน เป็นแรงกดดันสำคัญที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการ “ชะลอการใช้งบประมาณด้านโฆษณา”
เจาะการขายโฆษณา ทำรายได้ไตรมาส 2 อยู่ที่ 736.2 ล้านบาท ลดลง 188.7 ล้านบาท หรือลดลง 20.4% และเป็นการลดลงต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ที่อัตรา 2.6%
แม้รายได้หลักจากโฆษณาหดตัว แต่รายไดอื่นยังขยายตัว เช่น การให้ใช้ลิขสิทธิ์และบริการอื่น ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากธุรกิจการ จัดจำหน่ายละครไปต่างประเทศ (Global Content Licensing) ธุรกิจดิจิทัลแพลตฟอร์ม (Digital Platform) และธุรกิจ จัดกิจกรรมและบริหารศิลปิน (Events & Artist Management) รวมกัน 288.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 57.4% โดยกลุ่มนี้มีสัดส่วนรายได้ 28%
ขณะที่ “กำไรสุทธิ” ของกลุ่มบีอีซี ไตรมาส 2 อยู่ที่ 20.9 ล้านบาท ลดลง 50.6 ล้านบาท หรือลดลงถึง 70.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเป็นการลดลง 51.6% จากไตรมาสที่ 1 ปี 2568
รายได้-กำไรลด ยังเผชิญ “ต้นทุนเพิ่ม 1.5%” หรือ 12.4 ล้านบาท จากธุรกิจจัดกิจกรรมและบริหารศิลปิน ต้นทุนขายเพิ่ม 6.5% หรือ 52.5 ล้านบาท เพราะมี “ละครออกอากาศครั้งแรก” หรือ First-Run มากกว่าไตรมาส 1 จึงมีผลต่อต้นทุนขายรวมไตรมาส 2 อยู่ที่ 855.6 ล้านบาท ซึ่งบริษัทปรับตัวด้วยการเขย่าผังรายการออกอากาศ “ลดชั่วโมงละคร” เหลือ 1.15 ชั่วโมง(ชม.) จากปกติออกอากาศ 1.30 ชม. ปลายปีที่แล้วยังปรับลดขนาดองค์กร ทำให้ต้นทุนพนักงานลดลง แต่ไม่สามารถชดเชยต้นทุนที่เพิ่มได้
เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ กำไรร่วงด้วย
รายได้รวมไตรมาส 2 อยู่ที่ 1,789.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.42% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และมี “กำไรสุทธิ” 86.61 ล้านบาท “ลดลง” 28.42% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เทียบไตรมาส 1 สามารถ “พลิกขาดทุนมาเป็นกำไร”
เมื่อเจาะรายได้จากกลุ่มธุรกิจ กลุ่ม Content Marketing ทำรายได้รวม 943.41 ล้านบาท ลดลง 12.14% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามภาวะเศรษฐกิจและเม็ดเงินในอุตสาหกรรมโฆษณาสื่อโทรทัศน์ ส่วนรายได้จากกลุ่มธุรกิจ Idol Marketing เติบโตโดดเด่นทำรายได้ 805.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเ 38.71% ทั้งนี้ กลุ่มบริษัท เล็งเห็นแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งของธุรกิจ Idol Marketing ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับกระแสความนิยมของอุตสาหกรรมด้วย และกลุ่มบริษัท สามารถสร้างศิลปินที่มีคุณภาพต่อยอดจากคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยม จัดกิจกรรมต่างๆ หารายได้ต่อเนื่อง และได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากแฟนคลับหนุนรายได้
ขณะที่กลุ่มธุรกิจ Production Business มีรายได้ 30.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 5.60% YoY อย่างไรก็ตามรายได้ในกลุ่มธุรกิจนี้ มีสัดส่วนไม่ได้สูงมากนัดเมื่อเทียบกับรายได้รวม ซึ่งเป็นไปตามแผนกลยุทธ์ทางธุรกิจของกลุ่มบริษัท ที่เน้นการทำ Content ของตัวเองมากขึ้นเพื่อต่อยอดรายได้หลากหลายช่องทาง
อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มธุรกิจข้างต้น จะมีหมวดธุรกิจย่อยแทรกอยู่ ซึ่งสถานการณ์รายได้ในไตรมาส 2 กลุ่มที่หดตัว เช่น รายได้จากโฆษณา 643.04 ล้านบาท ลดลง 13.86% วิทยุ 54.82 ล้านบาท ลดลง 9.69% ให้เช่าสตูดิโอ 7.63 ล้นาบาท ลดลง 47.27% ฯ ส่วนที่เติบโตโดดเด่น เช่น บริหารจัดการศิลปิน 350.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.61% คอนเสิร์ตและอีเวนต์ 274.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.78% รับฉายาประเทศไทยเมืองแห่งคอนเสิร์ต และขายสินค้าที่ระลึกศิลปิน 180.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72.03% เป็นต้น
นอกจากนี้ บริษัทยกสถานการณ์เศรษฐกิจในไตรมาส 2 ขยายตัว 1.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นการชะลอตัวลงจากอัตราเติบโต 1.7% ในช่วงดียวกันของปีก่อน โดยเมื่อปรับฤดูกาลแล้ว เศรษฐกิจหดตัวเล็กน้อยที่-0.1%เทียบไตรมาสก่อน (ข้อมูลจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, NESDC)
ทว่า ภาคบริการโดยเฉพาะธุรกิจสื่อและบันเทิง ยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ และถูกขับเคลื่อนโดยการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและโทรคมนาคม ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ซึ่งช่วยเพิ่มโอกาสในการนำเทคโนโลยีใหม่มาสร้างสรรค์คอนเทนต์และแพลตฟอร์มรูปแบบใหม่ ๆ
ช่วงไตรมาส 2 ของปี 2568 สถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองของประเทศไทยยังคงเป็นประเด็นสำคัญ ที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจและบรรยากาศการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ ความไม่แน่นอนนี้เกิดจากหลายปัจจัย ทั้งใน ด้านเสถียรภาพของรัฐบาล การเปลี่ยนแปลงคณะรัฐมนตรี ความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมืองหลัก ตลอดจนกระแสข่าวลือเกี่ยวกับการยุบสภาหรือการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งล้วนแต่สร้างความกังวลให้กับทั้งภาคเอกชน นักลงทุน และประชาชนทั่วไป ทั้งในเรื่องของ ความต่อเนื่องของนโยบายรัฐ การตัดสินใจลงทุนของภาคเอกชน และ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
ด้านภาพรวมอุตสาหกรรมโฆษณา สมาคมมีเดียเอเยนซีและธุรกิจสือแห่งประเทศไทย (MAAT) คาดการณ์ว่าเม็ดเงินโฆษณาโดยรวมในปี 2568 จะเติบโตประมาณ 3.9% แต่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างที่สำคัญ โดยเฉพาะ “สื่อโทรทัศน์” แม้มีสัดส่วนใหญ่ที่สุดที่ 41% แต่เผชิญความท้าทายจากจำนวนผู้ชมและเม็ดเงินโฆษณาที่ลดลง ส่วน “สื่อดิจิทัล” เติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง คาดว่าจะมีสัดส่วนถึง 35% และมีแนวโน้มจะแซงหน้าสื่อโทรทัศน์ในอนาคตอันใกล้
ท่ามกลางการเติบโตของออนไลน์ แต่การแข่งขันรุนแรง บริษัทมีการรุกเสิร์ฟคอนเทนต์ผ่านออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม เช่น YouTube Facebook Instagram TikTok ฯ ซึ่งมีผู้ติดตามรวมกว่า 200 ล้านคน ช่วย “ลดความเสี่ยง” และ “เพิ้มโอกาสธุรกิจได้มากขึ้น ยังมีการเสริมทัพแพลตฟอร์มโอทีทีด้วยการปั้นแอปพลิเคชัน “OneD” เพิ่มทางเลือกแก่คนดู และกระจายความเสี่ยงด้านการควบคุมการออกอากาศ และสร้างรายได้
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ท้าทาย คือ ข้อเสนอของประธานาธิบปดี “โดนัลด์ ทรัมป์” จะเก็บภาษี 100% กับหนังและซีรีส์ที่ถ่านทำนอกสหรัฐ กลายเป็น “ความไม่แน่นอน” กระเทือนอุตสาหกรรมคอนเทนต์ทั่วโลก รวมถึงอุปสรรคต่อ “Soft Power ไทย” ที่กำลังไปได้ดีในตลาดโลกด้วย
เวิร์คพอยท์กำไรลด 58%
บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด(มหาชน) เผยผลประกอบการไตรมาส 2 มีรายได้รวม 526.65 ล้านบาท ลดลง 3.3% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เพราะรายได้โฆษณาทีวี 387.12 ล้านบาท ลดลง 5.7% โดยทีวียังเป็นรายได้หลัก 74% รวมถึงงานรับจ้างจัดงานอยู่ที่ 72.85 ล้านบาท ลดลง 27% และเป็นสัดส่วนรายได้ 14% ของบริษัท ซึ่ง 2 ธุรกิจนี้ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอจากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
ส่วนรายได้จากคอนเสิร์ตและละครเวทีอยู่ที่ 41.98 ล้านบาท ติบโตขึ้น 8% เพราะกิจกรรมที่ได้รับความนิยม รวมถึงรายได้จากธุรกิจบริหารศิลปินเพิ่มขึ้นจากการรับงานพรีเซนเตอร์และ กิจกรรมต่างๆ ของศิลปินในสังกัด การขายสินค้าของศิลปินในงานคอนเสิร์ตอยู่ที่ 24.91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% หรือคิดเป็น 2.75 ล้านบาท
ส่วนผลกำไรสุทธิอยู่ที่ 20.71 ล้านบาท ลดลง 58% หรือคิดเป็น 28.80 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 49.52 ล้านบาท
ทั้งนี้ ต้นทุนรวมของบริษัทลดลงจากการยุติการผลิตละคร ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิเท่ากับ 20.71 ล้านบาทในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ลดลงจากปีก่อนเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายพิเศษจากการปรับโครงสร้างองค์กรหากไม่รวมค่าใช้จ่ายดังกล่าว บริษัทจะมีกำไรสุทธิใกล้เคียงปีก่อนที่ 49.75 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทมีต้นทุนผลิตทั้งสิ้น 379.69 ล้านบาท ลดลง 2% หรือคิดเป็น 9.56 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการลดลงของ ต้นทุนจากธุรกิจรายการโทรทัศน์ซึ่งเป็นผลมาจากการยุติการผลิตและออกอากาศรายการประเภทละคร จึงส่งผลให้ต้นทุนค่าตัดจำหน่ายลิขสิทธิ์ลดลง
ส่วนผลกำไรสุทธิอยู่ที่ 20.71 ล้านบาท ลดลง 58% หรือคิดเป็น 28.80 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนซึ่งบริษัทมีผลกำไรสุทธิเท่ากับ 49.52 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ไตรมาส 2 ปี 2568 บริษัทได้ดำเนินการปรับลดขนาดองค์กร ซึ่งส่งผลให้บริษัทมีค่าใช้จ่ายชดเชยการเลิกข้างพนักงาน ซึ่งค่าใช้จ่ายดังกล่าวถือเป็นค่าใช้จ่ายพิเศษที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำ (One Time Expenses) หากไม่รวมค่าใช้จ่ายชดเชยการเลิกจ้างพนักงานดังกล่าว บริษัทจะมีกำไรสุทธิ 46.78 ล้านบาท
โมโน ทำกำไรต่อเนื่องจากไตรมาส 1
บริษัท โมโน เน็กซ์ จำกัด(มหาชน) หรือ MONO29 มีรายได้รวมไตรมาส 2 ที่ 338 ล้านบาท ลดลง 19% หรือคิดเป็น 93 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 จำนวน 55 ล้านบาท หรือเพิ่ม 16% ทว่า รายได้โฆษณาอยู่ที่ 187 ล้านบาท ลดลง 31% หรือ 84 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 7% จากไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ส่วนรายได้จากการให้บริการคอนเทนต์ Monomax/ GIGATV อยู่ที่ 156 ล้านบาท ลดลง 19% จากช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนรายได้อื่น 50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 525%
นอกจากนี้ บริษัทยังมี “กำไรสุทธิ” 16 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน “ขาดทุน 17 ล้านบาท” กำไรสุทธิดังกล่าวยังเพิ่มจากไตรมาส 1 อัตรา 78% ด้วย
ที่น่าจับตาคือ “หมากรบใหม่” ของโมโน เน็กซ์ คือการลุยขายแพ็คเกจรับชมฟุตบอลระดับโลก “พรีเมียร์ลีก อังกฤษ” EPL ที่ถ่ายทอดสดทุกแมทช์บนแพลตฟอร์ม Monomax ในราคาที่จับต้องได้เพียง 299 บาทต่อเดือน และรายปีในราคา 2,999 บาทต่อปี ที่คิกออฟอย่างเป็นทางการตั้งแต่ 18 มิถุนายน 2568 ที่ได้รับความสนใจอย่างมากจากกลุ่มแฟนกีฬา คอบอลในไทย รวมถึงทีวี “ช่องโมโน 29” ได้สิทธิถ่ายทอดสด 38 คู่ และได้รับค่าสมาชิก 50 บาทต่อรายจาก JAS ต่อยอดการเติบโต
ทั้งนี้ โมโนจะทำหน้าที่สื่อเพื่อสนับสนุนการโปรโมตและสร้างฐานผู้ใช้ใหม่ให้กับ Monomax ขณะเดียวกันยังคงมุ่งเน้นการรักษาฐานผู้ชมเดิมและยังคงรักษาเสถียรภาพของรายได้เดิมให้มีความต่อเนื่องทำให้โครงสร้างรายได้ใน