“คนอเมริกัน” กำลังออมเงินเพื่อเกษียณ สูงเป็นประวัติการณ์ แต่วิกฤติเงินสดฉุกเฉินยังถาโถม
รายงาน Vanguard เผย"คนอเมริกัน" กำลังออมเงินเพื่อเกษียณ สูงเป็นประวัติการณ์ แต่ปัญหาวิกฤติเงินสดฉุกเฉินยังถาโถม ส่งผลยอดถอนเงินก่อนวัยเกษียณพุ่งแตะสถิติใหม่
วันที่ 30 มิถุนายน 2568 เวลา 07.50 น. เว็บไซต์ Yahoo Finance รายงานว่ารายงาน "How America Saves 2025" ของบริษัทจัดการลงทุนแวนการ์ด (Vanguard) พบว่าชาวอเมริกันออมเงินในบัญชีเกษียณ 401(k) สูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อปีที่แล้ว
โดยเฉลี่ยแล้ว ชาวอเมริกันออมเงิน 7.7% ของรายได้ในแผนเกษียณที่นายจ้างจัดให้เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดครั้งใหม่ และเกือบครึ่งหนึ่งของผู้เข้าร่วมแผนเพิ่มอัตราการออมของตนเอง เพิ่มขึ้นจาก 39% ในปี 2565
หากรวมเงินสมทบจากนายจ้าง อัตราการออมรวมของผู้เข้าร่วมอยู่ที่ 12% เพิ่มขึ้นจาก 11.3% เมื่อ 4 ปีก่อน ซึ่งเดวิด สตินเน็ตต์ หัวหน้าฝ่ายให้คำปรึกษาด้านการเกษียณของแวนการ์ดกล่าวกับ Yahoo Finance ว่า“เป็นสัญญาณบวกที่ชัดเจน เพราะส่งผลให้มีแนวโน้มการเกษียณที่ดีขึ้น …ขอแนะนำให้คนทั่วไปออม 12 - 15% ของรายได้สำหรับการเกษียณ ซึ่งตัวเลขปีนี้อยู่ในช่วงที่เหมาะสม”
รายงานประจำปีของแวนการ์ดวิเคราะห์พฤติกรรมการออมเพื่อเกษียณของแรงงานอเมริกันเกือบ 5 ล้านคน โดยจุดเด่นสำคัญของปีนี้ คือ ผลกระทบจากกองทุนเกษียณแบบกำหนดเป้าหมาย (Target-Date Funds) แต่รายงานก็ชี้ให้เห็นประเด็นน่ากังวลจากการที่บางส่วนของผู้เข้าร่วมแผนต้องถอนเงินออกด้วยเหตุผลจำเป็นเร่งด่วน (Hardship Withdrawals)
ปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้อัตราการออมและการมีส่วนร่วมในแผนเกษียณเพิ่มขึ้น คือ การที่นายจ้างส่วนใหญ่ลงทะเบียนพนักงานใหม่เข้าร่วมแผนอัตโนมัติทันทีโดยไม่ต้องรอเวลา ปัจจุบันกว่า 60% ของแผนเกษียณใช้วิธีนี้ โดยมักจัดสรรเงินสมทบเข้ากองทุน Target-Date Fund ซึ่งพนักงานสามารถเลือกไม่เข้าร่วมได้
ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าจากเมื่อ 10 ปีก่อน และที่น่าสนใจคือ เกือบ 2 ใน 3 ของแผนเกษียณปีนี้ตั้งอัตราออมเริ่มต้นที่ 4% ขึ้นไปของรายได้ และประมาณ 30% ตั้งไว้สูงถึง 6% หรือมากกว่านั้น ซึ่งสูงกว่าปี 2558 ถึงเกือบ 2 เท่า
เจฟฟ์ คลาร์ก หัวหน้าฝ่ายวิจัยแผนเกษียณของแวนการ์ด กล่าวว่า การลงทะเบียนอัตโนมัติช่วยให้คนจำนวนมากสามารถก้าวข้ามอุปสรรคในการออม เช่น ขาดทักษะวางแผนการเงิน ความซับซ้อนของการตัดสินใจทางการเงิน หรือการผัดวันประกันพรุ่ง นอกจากนี้ราว 70% ของผู้เข้าร่วมแผนที่มีการลงทะเบียนอัตโนมัติ จะถูกปรับเพิ่มอัตราออมโดยอัตโนมัติปีละ 1-2% ซึ่งช่วยให้การออมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
โดยผลสำรวจอื่น ๆ ที่น่าสนใจมีดังนี้
- Roth 401(k) มาแรง การวางแผนภาษีสำหรับการเกษียณได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดย 18% ของผู้เข้าร่วมเลือกฝากเงินในตัวเลือก Roth 401(k) ซึ่งเงินที่นำออกจากเงินเดือนจะถูกหักภาษีทันที แต่หลังจากนำไปลงทุน เงินจะเติบโตและถอนออกโดยปลอดภาษีเมื่อเกษียณ ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์
- กองทุน Target-Date ได้รับความนิยม มูลค่าทรัพย์สินในกองทุน Target-Date Fund ทะยานแตะ 4 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2567 ที่แวนการ์ดเองมากกว่า 80% ของผู้เข้าร่วมใช้กองทุนนี้ โดย 2 ใน 3 ของเงินสมทบปี 2567 ถูกนำไปลงทุนในกองทุนนี้ และ 70% ของผู้ลงทุนเลือกลงทุนทั้งบัญชีในกองทุนเดียว ซึ่งสูงขึ้นจาก 60% ในปี 2565 และมากกว่าสองเท่าจากปี 2556
- พฤติกรรมการลงทุนเปลี่ยนไป ผู้ลงทุนในกองทุน Target-Date มีแนวโน้มกระจายความเสี่ยงเหมาะสมตามวัย และไม่เปลี่ยนพอร์ตบ่อย ลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจผิดพลาดระหว่างทาง ทั้งยังส่งผลให้ผู้ลงทุนที่ไม่มีหุ้นในพอร์ตลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และผู้ที่ลงทุนแต่หุ้นเพียงอย่างเดียวก็ลดลงเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น คนอายุ 25-34 ปี ประมาณครึ่งหนึ่งลงทุนในกองทุนปี 2603 ซึ่งประกอบด้วยหุ้นมากกว่า 90% และพันธบัตรที่เหลือ ส่วนคนอายุ 55-64 ปี ประมาณครึ่งหนึ่งลงทุนในกองทุนปี 2573 ซึ่งมีหุ้น 61.8% และพันธบัตรที่เหลือ
โดยประเด็นที่น่ากังวล คือ อัตราการถอนเงินด้วยเหตุผลจำเป็น (Hardship Withdrawals) เพิ่มขึ้นเป็น 4.8% จาก 3.6% ในปี 2566 ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดเป็นประวัติการณ์ นอกจากทำให้เงินเกษียณลดลง ผู้ถอนต้องจ่ายภาษีเงินได้สำหรับเงินที่ยังไม่ได้เสียภาษี และหากอายุไม่ถึง 59 ปีครึ่ง ยังต้องเสียภาษีเพิ่มเติม 10% ด้วย ยกเว้นในกรณีพิเศษ เช่น ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียน หรือซื้อบ้านครั้งแรกวงเงินไม่เกิน 10,000 ดอลลาร์
ในปี 2567 กว่า 35% ของการถอนดังกล่าวเป็นไปเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกยึดบ้านหรือถูกขับไล่ สาเหตุรองลงมาคือค่ารักษาพยาบาล และซ่อมแซมบ้าน
คลาร์กกล่าวทิ้งท้ายว่า ตัวเลขการถอนเงินดังกล่าวสะท้อนถึงความจำเป็นที่ต้องส่งเสริมความรู้ทางการเงิน และสร้างแหล่งเงินสำรองฉุกเฉินให้กับแรงงาน
อ้างอิง : finance.yahoo.com