ตัวละครรามเกียรติ์ไทย ทำไมมีสีกายหลายสีสัน? ทั้งที่ต้นฉบับ (อินเดีย) ไม่มีสี!
ข้อสังเกตประการหนึ่งที่หลายคนมองข้ามหรือลืมสงสัยคือ ตัวละครรามเกียรติ์ไทยช่างมีผิวกายหลากสีสันเหลือเกิน แต่ต้นฉบับมหากาพย์ “รามายณะ” ของอินเดีย กับอีกหลาย ๆ ชาติ ตัวละครในเวอร์ชันของพวกเขาล้วนเป็นสีธรรมชาติทั่วไป ไม่มีสีกายเฉพาะ
ไฉนสีกายของตัวละครรามเกียรติ์บ้านเราจึงวิจิตรพิสดารเป็นพิเศษ ?
เรื่องนี้ ภาษิต จิตรภาษาเล่าไว้ในบทความ “รามายณะของไทยทำไมมีสี ?”ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับเดือนเมษายน พ.ศ. 2535 ว่า จริง ๆ แล้วสีกายตัวละครในมหากาพย์รามายณะเกิดขึ้นเมื่อตัวละครเหล่านี้ต้องมาอยู่บนจิตรกรรมเขียนผนัง
ทั้งนี้ สีกายที่ว่าก็ไม่ได้อุบัติขึ้นลอย ๆ แต่มีคำอธิบายเป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่ในโคลงแสดงชาติกำเนิดของตัวละคร ซึ่งจารึกไว้ที่พระระเบียงวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) ขอยกตัวอย่างดังนี้
ทศกรรฐ(ทศกัณฐ์) สิบภักตรชั้น เศียรตรี
ทรงมงกุฎไชยเขียวสี อาตมไท้
กรยี่สิบพรศุลี ประสาศฤทธิ ยิ่งนา
ถอดจิตจากตนได้ ปิ่นด้าวลงกา
…
แสดงรูปราพนี้ชื่อ ชิวหา
ผัวนาฏสำนักขา คู่เคล้า
ผิวพัตรเทียบเทียมทา หงชาดแลแฮ
สรวมมงกุฎรูปน้ำเต้า ฤทธิสิ้นแผ่นโพยม
…
เถลิงรูปนาเรศนี้ สุพรรณมัจ ฉาเอย
ผิวเทียบทองทาผัด ผ่องพ้น
ธิดาทศเศียรกระษัตริย มาตุเรศ ปลาแฮ
ที่ลักคาบศิลาค้น สมุทรครั้งถมถนน
…
สุครีพเอารสไท้ ทินกร
สรวมชฎาอาภรณ เพริศพร้อม
อุปราชขีดขินนคร เอกอมาตย งามแฮ
สีสกลกลย้อม ชาดกลั้วสกลกาย
…
ขุนพานเรศนี้ นิลพัทนามเนอ
คือบุตรพระกาลชัด สืบเชื้อ
น้ำรักเทียบสีจัด สิบแปด มกุฎแฮ
เป็นเผ่าชมพูเกื้อ เกิดด้วยเดชราม
จะเห็นว่ามีสีกายต่างกัน ตั้งแต่ ทศกัณฐ์ สีเขียว, ชิวหา สีหงชาด (แดงชาดผสมขาว), สุพรรณมัจฉา สีทอง, สุครีพ สีชาด (แดง) และนิลพัท สีน้ำรัก (ดำ) ยังไม่นับตัวละครอื่น ๆ ในสีกายอื่นอีก เช่น หนุมาน สีขาว, อากาศประไลย สีแดงแสด หรือนิลปาสัน สีเหลือง เป็นต้น
ความจริงคือ เมื่อครั้งยังเป็นวรรณกรรมมุขปาฐะ และต่อมาเป็นลายลักษณ์อักษร รามเกียรติ์ไทยเองก็ไม่ต่างจากชาติอื่น คือไม่มีสีกายประจำตัวโดดเด่น ตอนเล่าเรื่องก็เล่าแต่พฤติกรรมของตัวละคร ไม่มีใครสนใจให้รายละเอียดว่าตัวสีอะไร
พระราชนิพนธ์สมัยรัชกาลที่ 1 น่าจะช่วยยืนยันเรื่องนี้ได้ เพราะเล่าถึงตอนที่สุครีพทวงสาบานกับพระราม จากการที่พาลี (กายสีเขียว) ผิดคำสาบานซึ่งเคยให้ไว้ต่อพระอิศวรว่า หากคิดไม่ซื่อต่อน้อง (สุครีพ) เอานางดารา (เมียสุครีพ) มาเป็นของตนเอง ขอให้ตายด้วยศรของพระนารายณ์
พระรามจึงให้สุครีพไปล่อพาลีมาแล้วพระองค์จะแผลงศรให้ แต่จนแล้วจนรอดก็ทำอะไรไม่ได้สักที เพราะสองพี่น้องดูคล้ายกันจนพระรามแยกไม่ออก ในการต่อสู้ครั้งต่อมา พระรามจึง “ตรัสพลางฉีกชายภูษาทรง ส่งให้สุครีพชาญสมร จงผูกหัตถาไปราญรอน เราจะได้วางศรไม่แคลงใจ”คือฉีกชายเสื้อให้ผูกศอกไว้เป็นสัญลักษณ์ พระองค์จะได้แผลงศรถูกตัว
จึงน่าสงสัยว่า หากสองพี่น้องมีสีกายอย่างที่เรารู้จักทุกวันนี้ พระรามย่อมแยกออกตั้งแต่แรก เพราะสีเขียวกับแดงนั้นต่างกันลิบลับ
ต่อมาเมื่อตัวละครรามเกียรติ์ก้าวพ้นจากตัวอักษรและคำร้องมาเป็นงานจิตรกรรม ตอนนั้นเองที่พวกเขาจำเป็นต้องมี “สี”
ภาษิตอธิบายว่า หากเราเป็นช่างเขียน เราเองก็คงไม่อยากเขียนตัวละครทุกตัวด้วยสีเดียว คงปรับเปลี่ยนเพื่อไม่ให้เกิดความเบื่อหน่าย เพื่อความสวยงาม ความแตกต่าง หรือเพื่อฝึกฝน และออกแบบการผสมสีใหม่ ๆ เป็นที่มาของสีตัวละครนั่นเอง
เช่นเดียวกับรายละเอียดอื่น ๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามา เช่น พิเภกกับทศกัณฐ์ แม้กายสีเขียวเหมือนกัน แต่ศีรษะต่างกัน คือ ทศกัณฐ์เป็นยอดมงกุฎหน้า ส่วนพิเภกเป็นยอดมงกุฎเต้า หรือตัวละครฝ่ายยักษ์ตนอื่น ๆ แม้สีกายเดียวกัน แต่ศีรษะต่างกัน เช่น ยอดมงกุฎหางไก่ ยอดมงกุฎไชย ฯลฯ เหมือนกันกับลักษณะทรงของตา ปาก และเขี้ยว ซึ่งแตกต่างกันในตัวละครแต่ละตัวด้วย หลักใหญ่ใจความก็เพื่อแยกตัวละครให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เมื่อมาเป็นนาฏกรรม ทั้งหนังและโขนก็ยึดเอาสิ่งที่จิตรกรในอดีตออกแบบไว้มาใช้ด้วย
ภาษิตสรุปว่า สีตัวละครในรามเกียรติ์เป็นสูตรตามตำราของไทยโดยเฉพาะ ถ้าหนังหรือโขนชาติใดมีลักษณะดังกล่าว คือ “สี” เหมือนของไทย ก็กล่าวได้ว่าได้ครูไปจากสยามแน่นอน
อ่านเพิ่มเติม :
- มี “รามายณะ” ฉบับพระรามไม่ใช่นารายณ์อวตาร?
- “ไชยามพวาน” หนึ่งใน “วานรสิบแปดมงกุฎ” ขุนศึกของพระราม
- “วิรุญจำบัง” ขุนศึกยักษ์นักล่องหน กับวาระสุดท้ายคราวช่วยทศกัณฐ์รบพระราม
สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 4 สิงหาคม 2568
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ตัวละครรามเกียรติ์ไทย ทำไมมีสีกายหลายสีสัน? ทั้งที่ต้นฉบับ (อินเดีย) ไม่มีสี!
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com