‘พิชัย’ ยืนยัน เจรจาภาษีทรัมป์ เน้นประเด็นเศรษฐกิจและการค้าเป็นหลัก ไม่มียื่นข้อเสนอด้านความมั่นคง ไม่ได้เปิดเสรีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ทุกรายการ
BTimes
อัพเดต 8 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 15 ชั่วโมงที่ผ่านมา • อัพเดตข่าวหุ้น ธุรกิจ การเงิน การลงทุน การตลาด การค้า สุขภาพ กับ บัญชา ชุมชัยเวทย์ - BTimes.Bizนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยืนยันว่าการเจรจาภาษีนำเข้าสินค้ากับสหรัฐฯ (Reciprocal Tariff) นั้น ไทยไม่ได้มีการยื่นข้อเสนอเกี่ยวกับเรื่องความมั่นคง หรือเรื่องสัมปทานแหล่งก๊าซธรรมชาติแต่อย่างใด ซึ่งการหารือแต่ละครั้ง ทีมไทยแลนด์ มุ่งเน้นการเจรจาเฉพาะประเด็นเศรษฐกิจและการค้าเป็นหลัก โดยหลังจากนี้ จะต้องมีการหารือเพื่อลงรายละเอียดในส่วนต่าง ๆ ตามข้อตกลงต่อไป แต่นับว่าเป็นข่าวดีที่ต่อจากนี้ไป การส่งออกสินค้าของไทยไปสหรัฐฯ จะได้รับอัตราภาษีที่ 19% ซึ่งเป็นระดับที่สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งได้
โดยหลังจากนี้ จะต้องนำรายงานให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบ และหลังจากมีการสรุปรายละเอียดขั้นตอนการทำงานงานทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ก็จะต้องรายงานต่อสภาผู้แทนราษฎรด้วย
นายพิชัย กล่าวว่า โจทย์สำคัญของประเทศไทยที่ต้องเร่งดำเนินการหลังจากนี้ คือ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทย เพื่อทำให้ต้นทุนการผลิตของไทยถูกลง ซึ่งจะเกิดประโยชน์ใน 2 ส่วน กล่าวคือ ผู้บริโภคจะได้สินค้าที่ราคาถูกลง และผู้ส่งออกสามารถแข่งขันได้มากขึ้น พร้อมยืนยันว่า ต่อให้ไม่มีปัญหาเรื่องภาษีสหรัฐฯ ประเทศไทยก็ต้องเร่งดำเนินการในเรื่องนี้อยู่แล้ว
ส่วนกรณีไทยจบดีลภาษี 19% แล้วจะช่วยทำให้ GDP ปี 68 มีโอกาสขยายตัวได้เกินเป้าหมายที่ 2.2% หรือไม่นั้น มองว่าเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับการทำงาน และสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย เพราะโลกวันนี้เปลี่ยนทุกวัน ผลต่อ GDP ก็ไม่ใช่เฉพาะผลจากในประเทศเท่านั้น แต่ยังมีผลจากนอกประเทศด้วย
กรณีสินค้าสวมสิทธิ์ผ่านทาง (transshipment) นั้น จะถูกเก็บภาษีนำเข้าในอัตรา 40% ซึ่งประเทศไทยจะเสียเปรียบในส่วนนี้ ดังนั้นจะต้องเร่งดำเนินการแก้ไข เพราะสหรัฐฯ ไม่ต้องการให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ โดยอาจต้องกำหนดสัดส่วนสินค้าที่ผลิตในไทยให้ชัดเจน และตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าอย่างเข้มงวด
สำหรับเงื่อนไขเจรจาเรื่องการเปิดตลาดสินค้าให้สหรัฐฯ นั้น นายพิชัย ยืนยันว่า ประเทศไทยไม่ได้เปิดเสรีนำเข้าสินค้าให้สหรัฐฯ ในอัตรา ภาษี 0% ทุกรายการ ซึ่งสินค้าที่เปิดให้ส่วนใหญ่ ต่างมีการทำข้อตกลงทางการค้า (FTA) กับประเทศอื่น ๆ ไว้อยู่ก่อนแล้ว รวมถึงมีการยื่นข้อเสนอว่าไทยจะซื้ออะไรจากสหรัฐฯ บ้าง ไทยจะเข้าไปลงทุนในส่วนใด หรือสหรัฐฯ จะเข้ามาลงทุนอะไรในประเทศไทย โดยส่วนใหญ่พิจารณากับสิ่งที่ไทยมีความพร้อม ส่วนไหนที่ไม่พร้อมก็อาจจะไม่เปิดให้สหรัฐฯ เลย หรืออาจจะเปิดให้เพียงบางส่วน โดยมีข้อกำหนดเรื่องเงื่อนเวลา 3-5 ปี เป็นต้น และหลัก ๆ คือ การหารือในรายละเอียดเกี่ยวกับการแก้ปัญหาและการดำเนินมาตรการทางการค้าในส่วนที่ไม่ใช่ภาษี (Non Tariff) มากกว่า
ขณะที่แผนการจัดซื้อเครื่องบินนั้น จากเดิม บมจ.การบินไทย (THAI) มีแผนจัดซื้อฝูงบินประมาณ 100 ลำ และที่ผ่านมา ได้ทยอยซื้อต่อเนื่อง โดยยังเหลือที่จะต้องซื้ออีก 80-90 ลำ ซึ่งจะทยอยดำเนินการตามแผนที่ได้แจ้งสหรัฐฯ
สำหรับการลงทุนในสหรัฐฯ นั้นจะมุ่งเน้นลงทุนในสิ่งที่ถนัด เช่น เกษตรแปรรูป เนื่องจากวัตถุดิบบางตัวมีในสหรัฐฯ อยู่แล้ว ส่วนการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์นั้น ลำดับแรกจะซื้อจากเกษตรกรในประเทศก่อน ซึ่งปัจจุบันมีกำลังการผลิต 5 ล้านตัน จากความต้องการใช้ 10 ล้านตัน ลำดับถัดมา คือ การนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน หลังจากนั้น จึงจะเป็นการนำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งจะมีโควตากำหนดไว้
ขณะที่การเปิดให้มีการนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐฯ นั้น ยืนยันว่าไม่ได้ยื่นข้อเสนอให้เปิดทั้งหมด แต่จะเป็นการทดลองตลาดเล็กน้อยเท่านั้น เช่น มีการบริโภคเนื้อหมูในประเทศ 100% ก็อาจจะเปิดให้มีการนำเข้าจากสหรัฐฯ ในสัดส่วนไม่ถึง 1% เท่านั้น และจะมีการออกหลักเกณฑ์เงื่อนไข เพื่อไม่ให้มีการนำเข้าได้ง่ายจนเกินไป เช่น มีการขอตรวจโรงงานก่อนว่ามีการใช้สารเร่งเนื้อแดงหรือไม่ เป็นต้นแม้จะคิดว่าเรามีการนำเข้าเยอะขึ้น แต่เราก็ต้องทำให้มีการส่งออกเยอะตามไปด้วย เพื่อจะช่วยเศรษฐกิจไทยใหญ่ขึ้นด้วย ส่วนการนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศถึงกว่า 90% แต่หลังจากนี้ อาจเปลี่ยนเป็นการซื้อจากสหรัฐฯ 10% หรือ 1.2 แสนบาร์เรล/วัน จากปัจจุบันที่ไทยใช้น้ำมันดิบ 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน เช่นเดียวกับเรื่องก๊าซธรรมชาติ ที่ไทยนำเข้าจะตะวันออกกลางกว่า 50%
หลักเกณฑ์การคำนวณมูลค่าในประเทศ (Regional Value Content : RVC) ซึ่งเป็นตัววัดสัดส่วนมูลค่าที่เกิดจากกระบวนการผลิตภายในประเทศให้สอดคล้องตามเกณฑ์ใหม่ของสหรัฐฯ ว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุป และต้องหารือกันต่อ โดยระหว่างนี้อาจจะใช้เกณฑ์เดิมที่ประมาณ 30-40% ไปก่อน ขณะที่เกณฑ์ใหม่ จะมีการเร่งหารือในรายละเอียดเพื่อสรุปข้อตกลงทั้งหมด
หลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยที่ 19% ซึ่งใกล้เคียงกับหลายประเทศในภูมิภาค ซึ่งทำให้ไม่มีข้อเสียเปรียบหรือแตกต่างกันมากนัก ดังนั้น หลังจากนี้การส่งออกสินค้าก็จะกลับไปอยู่ที่ขีดความสามารถในการแข่งขันของแต่ละประเทศเอง