บอร์ด ปตท.สผ.ไฟเขียว ลงทุน CCS แหล่งอาทิตย์ กักเก็บคาร์บอน 1 ล้านตัน
บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือปตท.สผ. บริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมชั้นนำของประเทศไทยและภูมิภาค มุ่งเน้นด้านการสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานอย่างยั่งยืน เพื่อพร้อมรับมือกับวิกฤต และการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่
1.การขับเคลื่อนและเพิ่มมูลค่าธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (Drive Value) เพื่อตอบสนองความต้องการใช้พลังงานของประเทศ โดยได้วางแผนการลงทุนในระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2568-2572) ด้วยงบประมาณรวมกว่า 33,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนใหญ่จะถูกใช้เพื่อรักษาระดับการผลิตในโครงการหลัก และยังมีการจัดสรรงบประมาณสำรวจปิโตรเลียมในปี 2568 เป็นจำนวน 168 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อค้นหาและพัฒนาแหล่งปิโตรเลียมใหม่ ๆ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานในระยะยาว
2.บริหารโครงการ E&P เพื่อมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 ด้วยยุทธศาสตร์ Decarbonization ภายใต้แนวคิด EP Net Zero 2050 ที่เน้นการดำเนินงาน 3 แนวทางได้แก่ Avoid การบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอและพิจารณาการลงทุนที่สอดคล้องกับแนวทางการลดคาร์บอน Mitigate การนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิต และ Offset การสร้างสมดุลด้วยการดูดซับคาร์บอนผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการปลูกป่า และการพัฒนาบลูคาร์บอน
3.การเติบโตในธุรกิจใหม่( Diversify) เพื่อเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในอนาคต ที่สอดคล้องกับทิศทางความยั่งยืน เช่น การศึกษาการผลิตและพัฒนา ไฮโดรเจน และธุรกิจพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับพอร์ตโฟลิโอในธุรกิจ
ทั้งนี้ ปตท.สผ.ได้ตั้งเป้าหมายระหว่างทางในการลดปริมาณความเข้ม (Intensity) ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ไม่น้อยกว่า 30 % ภายในปี 2573 และ 50 % ภายในปี 2583 เทียบจากปีฐาน 2563
ในการดำเนินงานเพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าว ล่าสุดคณะกรรมการบริหาร (บอร์ด) ปตท.สผ. ได้เห็นชอบให้ปตท.สผ.ไปดำเนิน โครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage: CCS) แหล่งอาทิตย์ ในอ่าวไทย ถือเป็นการประกาศตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (Final Investment Decision: FID) ที่จะเดินหน้าลงทุนในการโครงการดังกล่าวแล้ว หลังจากได้เสร็จสิ้นการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) ครอบคลุมการประเมินศักยภาพของชั้นหินใต้ดินสำหรับการกักเก็บคาร์บอน และการศึกษาทางวิศวกรรมเบื้องต้น (Pre-FEED) รวมถึงการเตรียมงานประมูลก่อสร้าง
การลงทุนในโครงการ CCS ในแหล่งอาทิตย์นี้ ทางปตท.สผ.จะเป็นผู้ดำเนินการเพียงรายเดียว โดยไม่มีบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ซึ่งถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 16% และบริษัท โมเอโกะ ไทยแลนด์ จำกัด ถือหุ้น 4% แต่อย่างใด
นายเสริมศักดิ์ สัจจะวรรณกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายการเงิน บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. กล่าวว่า โครงการ CCS ที่แหล่งอาทิตย์นี้ อยู่ระหว่างการเตรียมการพัฒนา ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 3 ปี ในการก่อสร้าง หรือเริ่มกระบวนการอัดกลับคาร์บอนได้ภายในปี 2571 ซึ่งจะช่วงลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้สูงสุดราว 1 ล้านตันต่อปี เทียบเท่ากับการปลูกป่าประมาณ 100 ล้านต้น
สำหรับโครงการ CCS นี้ ถือเป็นโครงการนำร่องระดับประเทศภายใต้แผนปฏิบัติการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ( NDC) ที่ได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 ด้วยมูลค่าการลงทุนที่ระบุไว้ราว 15,000 ล้านบาท ถือเป็นการก้าวเดินที่สำคัญและเป็นรูปธรรมที่สุดในการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ที่จะช่วยให้ประเทศบรรลุเป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงเหลือ 150 ล้านตัน ภายในปี 2573 หรือเป็นไปตามเป้าหมายของประเทศที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 40%
นอกจากนี้ ยังเป็นการพิสูจน์ศักยภาพของประเทศไทยในการใช้เทคโนโลยี CCS และเป็นการวางรากฐานที่สำคัญในการสร้างความมั่นใจในการขยายโครงการในอนาคต อย่างโครงการพัฒนาการกักเก็บคาร์บอนในอ่าวไทยตอนบน( Eastern CCS Hub) เพื่อรองรับการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากภาคอุตสาหกรรมในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มีเป้าหมายการกักเก็บคาร์บอนระยะแรกที่ 11 ล้านตันต่อปี และมีเป้าหมายระยะยาวที่จะเพิ่มศักยภาพการกักเก็บคาร์บอนเป็น 40 ล้านตันต่อปี ภายในปี 2593 และ 60 ล้านตัน ภายในปี 2608
ที่ผ่านมาโครงการดังกล่าวได้ร่วมกับกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ องค์การเพื่อความมั่นคงด้านโลหะและพลังงานแห่งประเทศญี่ปุ่น (JOGMEC) และบริษัท อินเปกซ์ คอร์ปอเรชั่น (INPEX) ดำเนินการศึกษาร่วมกันเกี่ยวกับศักยภาพในการกักเก็บก๊าซ คาร์บอนไดออกไซด์ และได้บรรลุผลการศึกษาทางเทคนิค เช่น การแปลข้อมูลคลื่นไหวสะเทือน (Seismic Reprocessing) และการประเมิน ปริมาณการกักเก็บ
ขณะที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเตรียมแผนการดำเนินงานกิจกรรม สำรวจคลื่นไหวสะเทือน (Seismic Acquisition) และเสนอแนวทางดำเนินงานภายใต้ข้อจำกัด ทางกฎระเบียบ ภายใต้กรอบความร่วมมือดังกล่าว โดยคาดว่าการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) ในปี 2573 และเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2577