'พลิกโฉมวงการอาหาร' AI - IoT นำร่องลด Food Loss ดันธุรกิจสู่ความยั่งยืนเต็มรูปแบบ
ประเทศไทยที่ปัญหาขยะอาหารเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ข้อมูลจากกรมควบคุมมลพิษ ระบุว่า ประเทศไทยมีขยะอาหารจากภาคครัวเรือนสูงถึงประมาณ 5.5 ล้านตันต่อปี ตัวเลขที่น่าตกใจนี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการปฏิวัติระบบห่วงโซ่อุปทานอาหารทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความท้าทายดังกล่าว เทคโนโลยีอัจฉริยะอย่าง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ อินเทอร์เน็ตในทุกสิ่ง (IoT) ได้ก้าวเข้ามาเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้ภาคธุรกิจอาหารไทยสามารถลดการสูญเสีย เพิ่มประสิทธิภาพ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดโลก
เทคโนโลยีแห่งอนาคต เปลี่ยน Food Loss ให้เป็นกำไร
รายงานล่าสุดจากเครือข่าย Circulars Accelerator Network ซึ่งเป็นการผนึกกำลังกันระหว่าง Accenture, UpLink และ World Economic Forum ได้เผยถึงผลการทดลองนำร่องที่น่าทึ่งในอุตสาหกรรมการขนส่งอะโวคาโด โดยใช้เทคโนโลยีจากสตาร์ทอัพสองบริษัท คือ Neolithics และ Dockflow
การตรวจสอบคุณภาพแบบอัจฉริยะด้วย AI ของ Neolithics: แทนที่จะใช้วิธีเดิมๆ ที่ต้องใช้แรงงานคนในการสุ่มตัดผลไม้เพื่อตรวจสอบคุณภาพ เทคโนโลยีนี้ใช้ระบบ AI-assisted non-destructive inspection หรือการประเมินคุณภาพแบบไม่ทำลายผลผลิต ซึ่งอาศัยการถ่ายภาพไฮเปอร์สเปกตรัม (hyperspectral imaging) และการประมวลผลด้วย AI เพื่อวิเคราะห์ลักษณะภายในและภายนอกของผลไม้ เช่น ปริมาณความหวาน (Brix sweetness) ความสุก และความเสียหายที่ซ่อนอยู่ภายใน ด้วยวิธีนี้สามารถลดเวลาการตรวจสอบคุณภาพลงได้ถึง 90% และเพิ่มความแม่นยำได้ถึง 15%ส่งผลให้การสูญเสียผลผลิตตั้งแต่ต้นทางลดลงอย่างมหาศาล
การติดตามการขนส่งแบบเรียลไทม์ด้วย IoT ของ Dockflow: ในระหว่างการขนส่ง ระบบจะติดตั้งเซ็นเซอร์ IoT เพื่อติดตามและเก็บข้อมูลสภาพแวดล้อมที่สำคัญ เช่น อุณหภูมิ ความชื้น และระดับก๊าซเอทิลีนที่ส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพและความสดของผลไม้ หากข้อมูลที่เก็บได้แสดงถึงความผิดปกติ ระบบ AI-powered system จะส่งการแจ้งเตือนแบบทันทีทันใด ทำให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนเส้นทางการขนส่งหรือการดูแลรักษาให้เหมาะสม ช่วยยับยั้งการเน่าเสียของสินค้าก่อนที่จะสายเกินไป
ผลลัพธ์จากการทดลองนำร่องนี้แสดงให้เห็นว่า การบูรณาการเทคโนโลยี AI และ IoT เข้าด้วยกัน สามารถลดการสูญเสียอาหารลงได้มากถึง 17% และช่วยเพิ่มรายได้จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นถึง 1.15% เนื่องจากมีสินค้าคุณภาพดีที่สามารถส่งถึงมือผู้บริโภคได้มากขึ้น
โอกาสและความท้าทายสำหรับภาคธุรกิจอาหารในประเทศไทย
ในปัจจุบัน ภาคธุรกิจอาหารในไทยกำลังก้าวสู่ยุคของการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอย่างจริงจัง หลายองค์กรเริ่มหันมาให้ความสนใจกับระบบ traceability หรือการตรวจสอบย้อนกลับที่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภคได้อย่างเป็นรูปธรรม เกษตรกรผู้ปลูกผลไม้ในหลายพื้นที่ของไทยเริ่มนำระบบเซ็นเซอร์มาใช้ในการตรวจสอบคุณภาพดินและน้ำ เพื่อวางแผนการเพาะปลูกให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ขณะที่ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมห้องเย็นก็เริ่มติดตั้งระบบ IoT เพื่อควบคุมอุณหภูมิและความชื้นตลอดกระบวนการจัดเก็บและขนส่ง
อย่างไรก็ตาม การจะขับเคลื่อนให้เทคโนโลยีเหล่านี้เกิดผลลัพธ์ในวงกว้างจำเป็นต้องเผชิญกับความท้าทายบางประการ ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนการลงทุนที่อาจสูงในระยะแรก การขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ไปจนถึงความจำเป็นในการสร้างแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือและมุมมองที่เปิดกว้างจากทุกฝ่าย
การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบอาหารที่ยั่งยืนไม่ใช่แค่เรื่องของการลดขยะหรือประหยัดต้นทุน แต่ยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและสร้างความมั่นคงทางอาหารในระยะยาว ด้วยความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI และ IoT ประเทศไทยมีโอกาสที่จะเป็นผู้นำด้านการจัดการห่วงโซ่อุปทานอาหารอย่างชาญฉลาดและยั่งยืนได้ หากผู้ประกอบการและภาครัฐร่วมมือกันอย่างจริงจัง ก็จะสามารถสร้างอนาคตที่อาหารมีคุณภาพสูงขึ้น การสูญเสียน้อยลง และสิ่งแวดล้อมดีขึ้นได้อย่างแน่นอน
ที่มา : Accenture