คุยกับ ‘What The Duck’ ในวันที่เป็ดต้องปรับตัวให้รับกับความเสี่ยงของอุตสาหกรรมดนตรีไทย
The TOYS, Bowkylion, Whal & Dolph, Landokmai และ Purpeech ศิลปินที่หลายคนรู้จักในฐานะนักร้องมากความสามารถ ที่ทั้งร้องและแต่งเพลงเองได้ ไม่ต่างจากเป็ดที่ทำได้หลายอย่าง ทั้งเดินบนบกและลอยตัวอยู่บนผิวน้ำ
ความเป็นมนุษย์เป็ดนี้เองคือ DNA ของ What The Duck ค่ายเพลงรุ่นใหม่ที่ให้อิสระศิลปินและทีมงาน ได้สร้างสรรค์ผลงานดีๆ มามากกว่า 10 ปี ตั้งแต่ยุคที่เทคโนโลยีเข้ามาเปลี่ยนการฟังเพลงไปตลอดกาล จากฟังผ่าน CD หรือ DVD สู่แพลตฟอร์มสตรีมมิงต่างๆ จวบจนทุกวันนี้ที่ใครๆ ก็เป็นศิลปินเองได้ และใน 1 วันก็มีเพลงใหม่ออกมา 60-70 เพลง และมีเพลงใหม่ต่อสัปดาห์เกินกว่า 600 เพลง ทำให้กว่าเพลงสักเพลงหนึ่งจะไปถึงคนฟังช่างยากเย็น
ธุรกิจดนตรีที่ถูกมองว่าเป็นธุรกิจฟุ่มเฟือย และไม่ใช่ทุกคนจะยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อบัตรคอนเสิร์ตไปเจอศิลปินได้ ยิ่งในช่วงวิกฤตโควิด-19 แน่นอนว่าค่ายเพลงและศิลปินย่อมได้รับผลกระทบไปเต็มๆ และทำให้ทุกการขยับตัวของเป็ดเต็มไปด้วยความเสี่ยง
แต่การทำธุรกิจที่เหมือนวิ่งอยู่ตลอดเวลาของ What The Duck กลับทำให้พวกเขาพลิกเกมมาเป็นค่ายเพลงเจ้าแรก ที่จัดคอนเสิร์ตออนไลน์และเฟสติวัลออนไลน์ แบบที่ศิลปินและแฟนคลับสามารถโต้ตอบกันได้
รวมถึงการใช้โซเชียลมีเดียอย่างชาญฉลาด ที่แม้พวกเขาจะออกตัวแรงว่าศิลปินส่วนมากในค่ายเป็นอินโทรเวิร์ตที่ยังไม่ชินกับการทำคอนเทนต์ออนไลน์ แต่การเลือกให้ศิลปินเป็นตัวของตัวเองแบบไร้กรอบ กลับทำให้ศิลปินเป็นที่รู้จักในกลุ่มแฟนเพลงใหม่ๆ และเพลงเก่าที่เคยหายไป กลายมาเป็นกระแสอีกครั้ง
ในวันที่เทรนด์ของดนตรีและพฤติกรรมการฟังเพลงของคนไทยเปลี่ยนแปลงไป จนทำให้ค่ายเพลงต้องปรับตัวอย่างหนัก เราถือโอกาสมาบุกบ้านของเหล่าเป็ด พูดคุยกับ มอย–สามขวัญ ตันสมพงษ์ ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้บริหาร What The Duck และ วิ–วิจิตรา เจียมสกุล Head of Marketing Manager ของ What The Duck ถึงการปรับตัวของพวกเขาและการเอาตัวรอดจากความเสี่ยงทั้งหลายในอุตสาหกรรมดนตรี
ตลอดบทสนทนาในครั้งนี้เราจะได้ยินคำว่า ‘วิ่ง’ และ ‘ปรับแผน’ อยู่ตลอดเวลา บนพื้นฐานที่ว่าทุกคนยังคงเป็นมนุษย์เป็ดที่คาแร็กเตอร์ชัดและไม่สูญเสียความเป็นตัวเองไป ถ้าพร้อมแล้วเปิดเพลงจากค่าย What The Duck ที่คุณรัก ไปพร้อมๆ กับการวิ่งมาราธอนไปกับพวกเขา ในคอลัมน์ Play Risk ครั้งนี้กันได้เลย
คุณคิดว่าดีเอ็นเอของ What The Duck คืออะไร ตั้งแต่ Day 1 จนถึงวันนี้ยังเหมือนเดิมอยู่ไหม
มอย : ด้วยความที่ What The Duck เป็นค่ายเพลงที่เกิดมาช่วงสิบกว่าปีที่แล้ว ในช่วงที่อุตสาหกรรมเพลงกำลังเปลี่ยนจากโลกกึ่งดิจิทัลเป็นฟูลลี่ดิจิทัล ทำให้เรามองตัวเองว่าเราเป็นค่าย independent ที่เกิดในยุคของดิจิทัล แล้วก็เป็นแบบ modern music คือเป็นรูปแบบการทำค่ายเพลงแบบใหม่
วิ : คิดว่า What The Duck เป็นค่ายเพลงที่เปิดพื้นที่ให้โอกาสศิลปิน เพราะว่าเราไม่ได้จำกัดแนวเพลงเลยว่าต้องเป็นแนวเพลงแบบนี้เท่านั้น เราถึงจะเซ็นสัญญาเข้ามาอยู่ What The Duck นะ แต่เรามีหลากหลายแนวเพลงมากๆ แล้วศิลปินที่อยู่กับเราก็ค่อนข้างหลากหลายมากๆ เรามีตั้งแต่ Bowkylion ที่แมสสุด ไปยันอินดี้สุดๆ เช่น loserpop หรือศิลปินที่เป็นแบบเจนฯ Z เลยก็มี
เราเลยคิดว่า What The Duck ตั้งแต่เมื่อก่อนจนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นพื้นที่ความหลากหลายของศิลปินที่มีดีเอ็นเอเดียวกัน คือมีความเป็นมนุษย์เป็ด เราไม่เคยพูดว่าเราเก่งที่สุดเลย แต่เราเป็นเป็ดที่ทำอะไรตลอดเวลา และเราทำงานกับศิลปินเหมือนเป็นพาร์ตเนอร์กัน
เวลาที่เราจะเซ็นสัญญาศิลปินเข้ามาใน What The Duck เราเลือกจากคนที่เราชอบ เลือกจากเพลงที่ทีมเราฟัง ทำให้เราอินในตัวตนของศิลปินอยู่แล้ว ดังนั้นศิลปินทุกคนที่เราเลือกเข้ามาจะมีพื้นที่ของเขา ที่เราจะไม่ได้ไปแตะพาร์ตครีเอทีฟของศิลปิน เราเป็นค่ายที่ไม่ไปบอกเขาว่าจะต้องทำเพลงเป็นแบบนั้นเป็นแบบนี้ เรามีหน้าที่เหมือนดึง identity ของศิลปินออกมาเท่านั้น
ดูเหมือนค่ายเพลงของคุณให้อิสระกับศิลปินมากเลย
มอย : เราให้พื้นที่เขาเต็มที่ ให้มากกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ ถ้าผมไม่ได้ให้อิสระ พวกเราคงไม่เซ็นสัญญาให้เขาเข้ามาเป็นศิลปินค่ายเราตั้งแต่แรก หมายความว่าผมคงไม่กล้าดึงศิลปินอย่าง Whal & Dolph หรือ Bowkylion เข้ามาเซ็นสัญญาแล้วบอกว่าโบกี้ต้องแต่งเพลงแบบนี้สิหรือ THE TOYS ต้องเล่นกีตาร์แบบนี้สิถึงจะดัง ผมเชื่อว่าเขาเป็นศิลปิน เขาต้องเก่งในการทำเพลงอยู่แล้ว และเขาน่าจะรู้ดีที่สุดว่าควรจะสื่อสารกับแฟนเพลงของเขายังไง
เรามีหน้าที่แค่ซัพพอร์ตเขา ในสิ่งที่เขาอาจจะไม่รู้หรือไม่ถนัด เช่น เรื่องการทำการตลาด การทำโปรโมชั่น การคุยกับพาร์ตเนอร์ และเรามีหน้าที่แค่เอาไอเดียต่างๆ ที่เขามีเต็มไปหมด มาช่วยเรียบเรียงบ้าง เช่น โบกี้มีภาพว่าอยากทำแบบนี้ บอกว่าพี่ เราปล่อยเพลงช่วงนี้ดีมั้ย ปล่อยเพลงแบบนี้ดีมั้ย เราก็ช่วยแชร์ไอเดียให้เขาบ้าง แต่สุดท้ายแล้วจะทำแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับศิลปินเลย
ในฐานะที่ค่ายเพลงของคุณโลดแล่นในวงการบันเทิงมานาน คิดว่าอุตสาหกรรมบันเทิงไทยสมัยนี้ เหมือนหรือต่างกับสมัยก่อนยังไงบ้าง
มอย : ถ้าย้อนประวัติศาสตร์ค่ายเพลง สมัยก่อนการทำค่ายเพลงสักค่าย ผมว่ามันยาก ต้องลงทุนสูง เช่น สมัยก่อนการที่คุณจะเป็นศิลปินคนหนึ่งจะทำมิวสิกวิดีโอ ทำอัลบั้มหนึ่งออกมา ต้นทุนในการทำมันสูงมาก
การเป็นศิลปินสมัยก่อนเลยยากมาก แต่ถ้าได้เป็นศิลปินแล้วก็ดังง่ายกว่าสมัยนี้ เพราะคนทำน้อย พอคนทำน้อย โอกาสที่คุณจะได้เป็นศิลปินก็มีน้อยมาก
สมัยก่อนค่ายเพลงที่ใหญ่ที่สุดคือแกรมมี่ แล้วเขาก็คือต้นแบบของค่ายเพลงที่ทำเป็นจริงเป็นจังมาก ปีหนึ่งเขามีศิลปินแค่ 5 คน เพราะกระบวนการในการที่จะได้เป็นศิลปินยาก แล้วก็กระบวนการการทำก็ยาก แต่พอได้ออกเพลงปุ๊บ มันดังอยู่แล้ว มันสำเร็จง่าย เพราะว่าวิทยุสมัยนั้นมีแค่ 4-5 คลื่น ช่องทีวีก็มีไม่กี่ช่อง คนก็ฟังเพลงได้จากไม่กี่ช่องทาง
ตอนช่วงที่แกรมมี่โต ก็จะเริ่มมีค่ายเพลงเล็กๆ เป็นช่วงค่ายยุคอินดี้ยุคแรกๆ เลย แต่ก็ปิดตัวกันเยอะ เพราะเมื่อก่อนปล่อยเพลงออกมาคนก็ไม่รู้ว่าจะไปเก็บเงินกับใคร มันมี CD DVD ปลอมเยอะแยะไปหมด
จนมาถึงยุคของ What The Duck เป็นช่วงที่คนในอุตสาหกรรมเพลงเริ่มไม่งงแล้วว่าเพลงมันหารายได้จากตรงไหน เริ่มมีรายได้มาจากยูทูบ หลังจากนั้นก็มี Spotify, Apple Music, Deezer ทำให้คนเริ่มเข้าใจแล้วว่าต้องจ่ายเงินเพื่อให้ได้คอนเทนต์ดีๆ ทั้งดูหนัง ฟังเพลง ดูซีรีส์
สิ่งที่ยากหรือท้าทายที่สุดในการทำค่ายเพลงคืออะไร
มอย : ทางค่ายและศิลปินต้องทำงานหนักมากขึ้นในการส่งมอบเพลงให้คนฟังของเรา เป็นโจทย์ใหญ่ที่ท้าทายมาก เพราะ 5-6 ปีที่แล้ว เราปล่อยเพลงอะไรไปก็ขึ้นเทรนด์ยูทูบง่ายมาก 1 ล้านวิวประมาณ 12 ชั่วโมงก็ได้แล้ว หรืออย่างยอดวิว 10 ล้านวิว 1 อาทิตย์ก็ได้แล้ว
แต่ตอนนี้เทรนด์มันเปลี่ยนไป ผมว่าตั้งแต่หลังโควิด-19 มันมีคอนเทนต์ให้เราเสพเต็มไปหมด จนเราต้องย้อนกลับไปถามตัวเองว่าจะมีเวลาฟังเพลงหรือเสพคอนเทนต์ใหม่ๆ ตอนไหน ทำงานก็ 8 ชั่วโมง นอนอีก 8 ชั่วโมง ไปกินข้าวเมาท์มอยกับเพื่อน กลับบ้านมาอาจจะเลือกเปิด Netflix ดูแทนก็ได้ หรือช่วงไหนมีกระแสดราม่าอะไรก็ขึ้นฟีดเต็มไปหมด
ผมก็จะบอกน้องๆ ในทีมว่าเราจะทำยังไงให้เราสามารถแย่งพื้นที่ในหน้าโทรศัพท์ของแฟนคลับเราได้ ยิ่งในทุกวันนี้มีคนปล่อยเพลง เฉพาะในประเทศไทย อาทิตย์หนึ่งประมาณ 600 เพลงต่อสัปดาห์ แสดงว่าวันหนึ่งมีประมาณ 60-70 เพลง ยังไม่ต้องพูดถึงว่าจะทำยังไงให้เพลงดัง เอาแค่ทุกวันกว่าจะผ่านด่าน AI ไปเจอคนได้ ต้องเจอกับปัญหาอะไรเต็มไปหมด ผมว่าสิ่งเหล่านี้คือปัญหาที่ค่ายและศิลปินทุกคนก็กำลังต่อสู้อยู่เหมือนกัน
วิ : มันก็ไม่ต่างจากเวลาเราทำของขายใน 7-11 ที่เขาจะมีระยะเวลาให้เราวางของที่เชลฟ์ ถ้าอาทิตย์นี้ยอดขายไม่ถึง เขาก็เอาลงจากเชลฟ์ การทำเพลงก็เหมือนกัน มีเพลงใหม่ปล่อยมาตลอด แล้วพอทุกอย่างเป็นดิจิทัลแพลตฟอร์มสตรีมมิงก็ดูง่ายว่าเพลงไหนยอดวิวเยอะ เพลงไหนยอดวิวไม่มาเลย เขาก็จะขออนุญาตเอาลงจากเชลฟ์ ก็คือเอาลงจากเพลย์ลิสต์นะ เพราะว่าอาทิตย์หน้า มีอีกค่ายหรืออีกศิลปินมาจ่อรอลงเพลงใหม่แล้ว
แล้วคุณแก้เกมจากปัญหาเหล่านั้นยังไง
วิ : การทำการตลาดของ What The Duck เหมือนเราวิ่งอยู่ตลอดเวลาเลย แล้วเราไม่เคยหยุดนิ่ง เพราะว่าเราทำงานกับคน เราทำงานกับความชอบของคน ตอนนี้มีโซเชียลแล้วทุกอย่างมันหมุนเร็วมาก เทรนด์ตอนนี้มันก็เปลี่ยนไปตลอดเวลา
วิธีการทำการตลาดของ What The Duck เลยเหมือนเราวิ่งตามเทรนด์ตลอดเวลา เราปรับตัวตลอดเวลา การปล่อยเพลงในวันนี้ของศิลปินคนเดิม แพลนโปรโมตก็ต่างจากเมื่อ 3 เดือนหรือเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ในทุกๆ ครั้งที่ปล่อยเพลง เหมือนต้องแอ็กทีฟมากขึ้น
ทีมการตลาดก็ต้องมีหน้าที่คอยมานั่งดู stat เรามีการใช้ Chartmetric เรามีการใช้เทคโนโลยีต่างๆ เพื่อเข้ามาดู stat พยายามจะใช้อัลกอริทึมดูว่าเราจะสามารถทำยังไงเพื่อให้ AI นำส่งเพลงของเราได้บ้าง บางทีก็ไม่ใช่แค่เข้าไปดูหลังบ้านของโซเชียลมีเดียอย่างเดียวแหละ ต้องมองเข้าไปดูให้ลงลึกขึ้นอีก
ดูว่าคอนเทนต์ที่ทำให้กับเพลงเพลงนั้น มันทำให้คนกลับไปฟังเพลงในแพลตฟอร์มสตรีมมิงมั้ย เพราะเราจะเห็นหลายๆ เพลงที่ไวรัลใน TikTok หรือใน IG แต่ไม่เกิดอะไรขึ้นเลยกับเพลงนี้ในแพลตฟอร์มสตรีมมิงเพลง ทำให้มันไม่สามารถส่งผลไปที่เพลงและศิลปินได้
https://www.tiktok.com/@whattheduckmusic/video/7395852345386487047?is_from_webapp=1&sender_device=pc&web_id=7438890417436001813
บางเพลงที่ประสบความสำเร็จก็เริ่มมาจากอะไรก็ไม่รู้เหมือนกัน สิ่งที่เราแพลนมันอาจจะไม่เวิร์ก แล้วเราก็ต้องแก้ระหว่างทาง อย่างวิธีการทำแคมเปญต่างๆ เราคิดว่าเพลงนี้จุดแข็งมันอยู่ตรงนี้ เรากำลังจะเล่นเรื่อง photo slide เรากำลังจะเล่นทำแคมเปญใน TikTok แบบนี้ พอทำออกไปแล้วไม่เวิร์ก กลายเป็นว่ามีแฟนๆ หรือมีคนเอาไปทำคอนเทนต์เองแล้วมันเกิดเอนเกจมากกว่า เราก็เอาที่เขาทำนี่แหละมา develop ต่อ
มอย : ผมว่ามันไม่ได้มีสูตรสำเร็จว่าต้องทำแบบไหน เดือนที่แล้วเราทำอันนี้แล้วประสบความสำเร็จ อีกเดือนหนึ่งเราทำแบบเดิมก็อาจจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่เราก็จะมีเช็กลิสต์ว่าก่อนปล่อยเพลงค่ายและศิลปินต้องทำ pre-release เป็นการปล่อยเพลงหรือซิงเกิลออกมาล่วงหน้าในแพลตฟอร์มต่างๆ และในโซเชียลมีเดีย แล้วการตลาดหลังจากนั้นก็เหมือนเราใส่ผงวิเศษลงไปเพื่อให้เพลงมันไป
ดูเหมือนคุณวางแผนการตลาดที่ทำให้ศิลปินแต่ละคนแตกต่างกันด้วย
วิ : ใช่เลย วิธีการดูแลศิลปินและการทำการตลาดของ What The Duck แทบจะไม่เหมือนกันเลยเพราะเราพยายามดึงความเป็นตัวตนของศิลปินนั้นๆ ออกมาในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดให้แฟนๆ ได้เห็น เราเลยไม่สามารถให้ศิลปิน 10 คนทำคอนเทนต์เหมือนกันได้
ด้วยความที่เรามีดาต้าเข้ามาประกอบ เราเลยเห็นว่าศิลปินหนึ่งคน ไม่ได้จำเป็นต้องมีแฟนคลับมหาศาลในตลาดแมส ยิ่งคนปล่อยเพลงเยอะเท่าไหร่ ยิ่งมีศิลปินเกิดขึ้นมาเยอะเท่าไหร่ เรายิ่งเชื่อเรื่องการเป็น super fan
การที่ศิลปินหนึ่งคนปล่อยเพลงมา มันต้องมีเลนส์ในการวิ่งไปหาแฟนคลับ เช่น Uncle Ben เป็นศิลปินอินดี้ก็จะมีเลนส์ของตัวเอง แล้วก็มีวิธีการโปรโมตของตัวเอง โบกี้เป็นศิลปินแบบซูเปอร์แมส ก็จะมีอีกเลนส์หนึ่ง
https://www.tiktok.com/@whalanddolph/video/7538355955352866055?lang=en
ทุกวันนี้คุณและศิลปินปรับตัวสู่โลกออกไลน์ยังไงให้ไม่สูญเสียสไตล์ของตัวเอง
วิ : ศิลปินเราส่วนมากเป็นอินโทรเวิร์ต เวลาให้ศิลปินเล่นโซเชียล เราไม่เคยบังคับว่าจะต้องเล่นคอนเทนต์แบบไหน สิ่งเดียวที่ขอคือให้ทำคอนเทนต์เถอะ แล้วทำในแบบของเขาได้เลย ตัวอย่างคือ Whal & Dolph ช่วงที่เริ่มมี TikTok เข้ามาแรกๆ เขาอาจจะยังไม่ชินกับการทำคอนเทนต์ใน TikTok
แต่พอได้ลองเปิดใจคุยกัน เราก็ไม่ได้มีกรอบบังคับว่าจะต้องทำแบบนี้เท่านั้น เลยทำให้ยอดติดตาม TikTok พุ่งขึ้นเยอะมาก ประกอบกับตอนนั้นมีการปล่อยเพลง ดีใจหรือเปล่า วงมีการปรับวิธีการทำโซเชียลที่ให้เพลงดีใจหรือเปล่า เหมือนดึง Whal & Dolph กลับมาสู่ทาร์เก็ตเด็กๆ เพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ มันเป็นผลจากการที่ศิลปินเขาออกจากคอมฟอร์ตโซนมาทำโซเชียลมีเดีย
https://www.tiktok.com/@qler0?is_from_webapp=1&sender_device=pc
อีกเคสหนึ่งคือ QLER เคยทดลองทำคอนเทนต์กับเขาในหลายๆ คอนเทนต์ จนเขาเจอตัวตนในโซเชียลมีเดีย ว่าเขาชอบเล่าเรื่อง ชอบทำพ็อดแคสต์ ชอบร้องเพลงคัฟเวอร์ โซเชียลมีเดียของ QLER ตอนนี้เลยน่าจะโตเกือบสูงสุดในค่ายเลย พอเขาทำแบบนี้มาเรื่อยๆ ทำให้ทุกคนจำได้ว่าถ้าเปิด TikTok ของ QLER เราจะได้เจอคอนเทนต์ประมาณนี้
นอกจากยอดผู้ติดตามที่เพิ่มขึ้นแล้ว การปรับตัวครั้งนี้มีกระแสตอบรับในมุมอื่นด้วยไหม
วิ : พอโซเชียลมีเดียมันเปิดกว้างมาก ข้อเสียคือทุกคนเป็นศิลปินได้ง่ายขึ้น มีการปล่อยเพลงง่ายขึ้น แต่ข้อดีคือเพลงเพลงหนึ่งมีโอกาสมากขึ้น ดังนั้นจะเห็นว่าบางเพลงที่ถูกปล่อยไปนานมากๆ ก็กลับมาแมสได้ แค่เราต้องมองหาโอกาสในเพลงนั้น
เราว่า QLER ก็เป็นหนึ่งในเคสที่หาโอกาสให้เพลงเก่าๆ ของตัวเองกลับมาขึ้นหน้าฟีดได้ตลอดเวลา เช่น QLER ทำคอนเทนต์เพลงจีบ ซึ่งมันถูกปล่อยไป 4-5 ปีแล้ว ตอนนี้เพลงจีบก็กลับมาเป็นกระแส แล้วเขาก็หมุนเวียนเอาเพลงเก่าๆ ของตัวเองกลับมาตลอดเวลา เหมือนการมีโซเชียลเป็นโอกาสทองของเรา อยู่ที่ว่าเราจะขยันพอที่จะไปคว้าโอกาสตรงนั้นมั้ย
มอย : เราจะเห็นหลายๆ เคส ที่บางเพลงถูกปล่อยไปแล้ว 4-5 เดือน ถึงกลับขึ้นมาดังได้ หรือกลับค่อยๆ ขึ้นมาอยู่ในชาร์ตได้ ยิ่งทุกวันนี้เพลงเก่าๆ หรือพวก Back Catalog ก็กลับมามีกระแสได้
แล้วความเสี่ยงของการทำค่ายอยู่ที่ตรงไหน
มอย : ผมว่าทำอะไรก็เสี่ยงหมด แต่อย่างน้อยเราทำอะไรที่เราชอบก็ยังดีกว่าไปทำอะไรที่เราไม่ได้ชอบแล้วเสี่ยงด้วย สำหรับผม มองว่าธุรกิจค่ายเพลงไม่ได้เสี่ยงมาก เพราะมันเป็นธุรกิจเชิงสร้างสรรค์ อย่างน้อยเราได้สร้างงานขึ้นมาแล้ว งานจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จก็ค่อยมาว่ากัน
ความเสี่ยงอาจจะเป็นเรื่องของอะไรบางอย่างที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เราสามารถสร้างเพลงที่ดีได้ เราสามารถทำเพลงที่มีมาตรฐาน ทำซาวด์ที่ได้อยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำอยู่ บางครั้งปล่อยเพลงออกไปแล้วคิดว่าเพลงนี้มันน่าจะเหมาะ มันอาจจะไม่เหมาะกับคนช่วงนี้ก็ได้ ตอนนั้นอาจจะมีดราม่าบางอย่างเกิดขึ้น มีเรื่องการเมืองเข้ามา ทำให้คนไม่ได้สนใจเพลงแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้
อีกเรื่องคือเราต้องยอมรับว่าประเทศเราเป็นประเทศกำลังพัฒนา ที่คนรักงานศิลปะ รักงานสร้างสรรค์ แต่ด้วยเศรษฐกิจหรืออะไรหลายๆ อย่าง ทำให้เรายังไม่พร้อมจ่ายเงินเพื่องานศิลปะขนาดนั้น ยิ่งธุรกิจของเราเป็นธุรกิจฟุ่มเฟือย แต่คนเรายังต้องกินอิ่ม 3 มื้อก่อน เรายังต้องเก็บเงินไว้ผ่อนบ้าน ไปหาหมอ เก็บเงินไว้ซื้อเสื้อผ้า การที่เราจะเก็บเงินไปดูคอนเสิร์ตทุกเดือนก็อาจจะไม่ไหว บัตรคอนเสิร์ตทุกวันนี้ก็พันกว่าบาทแล้ว คนอาจจะรู้สึกว่าไม่ไป เดี๋ยวรอดูในยูทูบดีกว่า อันนี้แหละที่ผมว่าก็อาจจะเป็นความเสี่ยงของธุรกิจเรา
คุณเป็นคนทำธุรกิจแบบ play risk หรือ play safe มากกว่ากัน
มอย : ผมว่าผมเป็นคนทั้งสองแบบนะ บางเรื่องมันก็ต้อง play safe บ้าง เพราะว่าผมไม่ได้ตัวคนเดียว ถ้าเราพลาด เรามีพาร์ตเนอร์อีก 2 คน เรามีพนักงานอีก 50 คน มีศิลปินอีก 30 คนที่ต้องดูแล ผมก็ต้องคิดว่าถ้าตัดสินใจแบบนี้จะส่งผลอะไรกับคนอื่นบ้าง
ถ้าเราอยากจะลองทำอะไรใหม่ๆ เราต้องมีคำตอบให้ตัวเราเองเสมอว่า เราทำอันนี้ไปทำไม มันอาจจะไม่ได้รีกลับมาด้วยเงินหรือชื่อเสียง แต่อย่างน้อยตัวเราได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง ลูกน้อง ศิลปินได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง อันนี้เราก็จะไม่ play safe แล้ว
หรือว่าศิลปินบางเบอร์เรารู้อยู่แล้วว่าเขาทำแบบนี้ไม่น่าเวิร์ก แต่เขาเซ็นสัญญาเข้ามาแล้วว่าอยากทำกับเรา เราก็ทำได้แค่เตือนบางอย่าง แต่ถ้าเขาอยากทำก็ให้เขาทำ แล้วผลจะเป็นยังไงเรารับผิดชอบร่วมกัน ถ้ามันไม่เวิร์ก เราก็มาเริ่มต้นใหม่ ช่วยให้เขาไม่พังหรือไม่พลาดมากกว่านี้ อันนี้น่าจะเป็นวิธีการทำงานของผม
วิ : ด้วยความที่ What The Duck คือค่ายที่เป็นพื้นที่เปิดโอกาสให้ศิลปิน ไม่ว่าจะทำเพลงแนวไหนสามารถมาสร้างสรรค์ผลงานได้แบบเต็มที่ โดยที่เราไม่เคยไปครอบครีเอทีฟไอเดียของเพลงเลย ขณะเดียวกัน เราก็ไม่เคย play safe กับการโปรโมต เรียกได้ว่าเราปรับตัวตลอดเวลา โดยที่บางครั้งเรายอมที่จะเสี่ยง
ที่นี่เราไม่ได้มีการปฏิเสธไอเดียเลยด้วยซ้ำ อยากลองทำก็ทำเลย เบื้องหลังเพลงดังหรือแคมเปญต่างๆ ก็เกิดมาจากจุดเล็กๆ หรือเกิดมาจากน้องๆ เจนฯ Z ด้วยซ้ำ ส่วนเราเองอาจจะไม่ได้เป็นเจนฯ Z เราก็ให้น้อง ขึ้นมานำในการโปรโมตเพลงหรือศิลปินบางคนที่จะ direct ไปที่เจนฯ Z โดยที่เราไม่ได้มาสนใจว่าน้องอายุแค่นี้เอง เรามองว่าเราเป็นพี่ที่คอยประคองเขามากกว่า แล้วให้เขานำทำเต็มที่ได้เลย
หัวใจสำคัญที่ทำให้ What The Duck ยืนระยะมาได้นานขนาดนี้คืออะไร
มอย : ผมว่าเป็นเรื่องทีมเวิร์ก มีทีมที่เข้าใจในความเป็น What The Duck ผมว่าการสื่อสารของเราในองค์กรและดีเอ็นเอของเราค่อนข้างชัดเหมือนกัน จะเห็นได้ชัดๆ เลยก็ตอนช่วงโควิดที่เราฝ่าฟันตรงนั้นได้ทุกคน โดยที่เราไม่เลย์ออฟพนักงานออกเลย
มันเป็นช่วงที่เศรษฐกิจแย่มากๆ ไม่มีอะไรให้เราทำเลย แต่เราก็ยังช่วยกันทำอะไรใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นได้ อย่างเช่นคอนเสิร์ตออนไลน์และเฟสติวัลออนไลน์ เราเป็นเจ้าแรกๆ ที่ทำเลย เพราะตอนนั้นจะมีแต่ศิลปินออกมาไลฟ์กันในยูทูบ เป็นแบบ one-way communication แล้วให้แฟนๆ มาบริจาคเงินหรือส่งของขวัญให้
โจทย์ของเราคือจะทำยังไงให้เป็นแบบ two-way communication ที่ศิลปินพูดมาแล้วแฟนคลับพูดกลับได้ ก็ได้ไอเดียตอนที่ทำงานเวิร์กฟรอมโฮมกันแล้วใช้ Zoom คุยงานบ่อยๆ เราก็เลยจัดงานคอนเสิร์ตใน Zoom ที่คนซื้อบัตรมาแล้วได้รหัส Zoom เข้ามา แล้ววงเล่นอยู่ในสตูก็จะเห็นหน้าแฟนคลับที่เปิดกล้องด้วย แล้วแฟนๆ ก็เขียนอะไรให้ศิลปินดูได้ ตอนนั้นวุ่นวายมาก เพราะเราก็ทำไม่เป็น ต้องไปคุยกับ Zoom อีกว่าซื้อแพ็กเกจแบบไหนถึงจะรองรับคนได้
ศิลปินวงแรกที่เราทำคอนเสิร์ตออนไลน์คือ Whal & Dolph ผมจำได้เลยว่าขายบัตร 1,000 ใบ หมดใน 10 นาที หลังจากนั้นก็มาจัดเฟสติวัลออนไลน์ อันนั้นก็หนักเลย เราขายบัตรประมาณ 5,000 ใบ ทำให้มันใหญ่ เชิญศิลปินจากทุกค่ายเลย
วิ : ตอนนั้นมี Three Man Down, Tilly Birds, อิ้งค์ วรันธร, Mirrr เรียกได้ว่ามีแต่ศิลปินระดับท็อป เพราะเราเปิดเพลย์ลิสต์ใน Spotify แล้วดูท็อป 1-10 ว่ามีใครบ้างแล้วเชิญมาร่วมงานกัน ซึ่งช่วงโควิดทำให้การทำการตลาดของเราเปลี่ยนไปเยอะมาก
ก่อนหน้านี้เราจะมีแค่ศิลปินปล่อยเพลง มีการไปเดินสาย PR สัมภาษณ์ ไปถ่ายรายการต่างๆ นี่คือสูตรในการโปรโมตเพลงเพลงหนึ่งเลย แต่พอช่วงโควิด สื่อที่เป็นเมนสตรีมถูกลดลง สื่อออนไลน์มีบทบาทมากขึ้น เราก็จะเริ่มมีแคมเปญออนไลน์มากขึ้น เราจะต้องเรียนรู้แพลตฟอร์มใหม่ๆ เช่น TikTok และทำยังไงก็ได้ให้ TikTok ที่เพิ่งเข้ามาเป็นเมนหลักของคนในการเสิร์ชคอนเทนต์ ให้เพลงเราเข้าไปอยู่ใน TikTok ให้ได้
What The Duck มีแผนปรับตัวในอนาคตยังไง
มอย : เราอยากโตแบบไม่เร่งมาก ค่อยๆ เติบโตไป แล้วมองหาโอกาสใหม่ๆ เราอยากออกไปเจอเพื่อนบ้านในต่างจังหวัดและต่างประเทศบ้าง เพราะผมมองว่าตลาดเพลงในเมืองไทยยังโตขึ้นได้อีก แต่เราเป็นค่ายเพลงที่อยู่ในกรุงเทพฯ เท่านั้น
ผมแอบมองว่าตลาดใหญ่คือตลาดพวกภูมิภาค ตลาดต่างจังหวัด ตลาดเพลงลูกทุ่ง เราจะเริ่มเห็นการคอลแล็บกันระหว่างศิลปินในกรุงเทพฯ กับศิลปินต่างจังหวัด แล้วทำให้เป็นที่รู้จักและเริ่มเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง แฟนเพลงต่างจังหวัดเลยเป็นอีกตลาดหนึ่งที่เราอยากจะทำ
แล้วก็ตลาดต่างประเทศ เราก็ลองมาหลายปีแล้ว เพราะเห็นว่าศิลปินเราหลายคนสามารถสู้กับตลาดอินเตอร์ได้ คำว่าอินเตอร์ของเราคือ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตลาดในจีนที่เรามองไว้
อีกอย่างคือในปีนี้กระแสเพลง K-pop ก็ทิ้งไม่ได้เลย เราอยากจะทำมาหลายทีแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ลงไปเล่นเต็มตัว ปลายปีนี้น่าจะเป็นปีแรกที่ทุกคนได้เห็นศิลปินบอยแบนด์และเกิร์ลกรุ๊ปจากฝั่งบ้าน What The Duck บ้าง
วิ : ในความรู้สึกของทุกคนโพซิชั่นหลักๆ ของเราคือค่ายเพลง แต่จริงๆ เรามีจัดเฟสติวัลเป็นงาน Colorists Music Festival ขึ้นเป็นปีที่ 4 แล้ว ตอนนี้ก็ขายบัตรหมดเป็นที่เรียบร้อย แล้วเราก็พาร์ตเนอร์กับค่ายเพลงอื่นๆ แล้วก็ทำเฟสติวัลขึ้นมาชื่อ NOW FEST หลังจากนี้เราก็พยายามทำเฟสติวัลมากขึ้นด้วย ทำอะไรที่มันเสริมกับค่ายหรือศิลปินของเรา เพื่อสร้างพื้นที่ให้ศิลปินได้ทำงานที่เขารัก
บทเรียนที่คุณได้รับจากการทำ What The Duck คืออะไร
มอย : เราต้องซื่อสัตย์กับกับศิลปิน อันนี้ผมว่าสำคัญที่สุดในการทำงานของค่ายเพลง ซื่อสัตย์กับศิลปินหมายถึงว่าเราโปร่งใสกับเขาทุกเรื่อง ทั้งรายได้ รายจ่าย เรื่องสัญญา และการสื่อสารที่ชัดเจนตรงไปตรงมาจะง่ายในการทำงานต่อไป บางทีคนไทยอาจจะติดเรื่องเกรงใจ ทำให้พูดไม่หมดบ้าง ผมเคยไปนั่งย้อนหลังดูว่าอะไรที่ทำพลาดไปบ้าง บางส่วนก็มาจากการที่เราสื่อสารไม่ครบ
อีกข้อคือเราต้องไม่ยึดติดกับความสำเร็จเดิม เพราะว่าความสำเร็จเป็นวัฏจักรที่มีขึ้นมีลง ผมพยายามบอกศิลปินเสมอว่าเรากำลังวิ่งมาราธอน เราไม่ได้วิ่ง 100 เมตรที่วิ่งถึงแล้วชนะเลย แต่เราต้องยืนระยะให้ได้นานที่สุด แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากได้ความสำเร็จนะ แค่เราต้องเผื่อใจกับความผิดหวังบางอย่างที่เราคาดการณ์ไม่ได้ เราก็จะพูดคุยกันว่าถ้าเราเตะบอล จะเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ทุกฤดูกาลเหรอ มันเป็นไปไม่ได้ แต่ทำยังไงก็ได้ให้เรายังอยู่ในท็อป 4 ก็ยังดี
เหมือนกับเวลาปล่อยเพลง ทุกเพลงจะชนะไม่ได้หรอก บางทีคนอาจจะเห็นตอนศิลปินประสบความสำเร็จแล้ว เห็นแค่ยอดภูเขา แต่ไม่เห็นว่าข้างล่างเขาสู้ขนาดไหนกว่าจะมาถึงทุกวันนี้ อย่าง Bowkylion เคยไม่มีงานเลยประมาณ 5-6 ปี ก็ยังทำเพลงบ้าง หายไปบ้าง แล้วก็กลับมาทำเพลงต่อ เราก็มีหน้าที่ให้กำลังใจ พยายามช่วยน้องหางาน กว่าเขาจะดังมันก็ต้องใช้เวลาและความอดทน
วิ : สำหรับทีมงานเอง เราก็มีบทเรียนเรื่องเดียวกันว่าต้องไม่ยึดติดกับความสำเร็จ ถ้ามัวแต่ยึดติดว่าเราเคยทำแบบนี้แล้วมันสำเร็จ สุดท้ายเราทำเหมือนเดิมอาจจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดีเท่าเดิมก็ได้ ปีนี้เราอาจจะทำเพลงติดอันดับ 1 ได้ แต่โลกมันเปลี่ยนไปตลอดเวลา เราต้องไม่หยุดนิ่ง ไม่หยุดที่จะพัฒนา ไม่หยุดที่จะหาวิธีการใหม่ๆ มาโปรโมตเพลง
ที่ What The Duck ศิลปินสร้างสรรค์ผลงานมาก็จริง ทีมงานทุกคนรักในผลงานของศิลปินไม่น้อยไปกว่าศิลปินด้วยซ้ำ เรารักเพลงเพลงหนึ่งมาก ดังนั้นเราพยายามหาวิธีการตลอดเวลา เพื่อทำให้เพลงเพลงนี้มันได้ไปต่อ เพื่อทำให้ศิลปินที่เราทำงานด้วยโตขึ้นในทุกๆ วัน
ทุกครั้งที่เราทำแผน เรารีสตาร์ทใหม่ตลอดเวลาในทุกๆ เดือน ในทุกๆ สัปดาห์ เราพยายามทำเพลงให้ฮิต เราพยายามจะเซต KPI ให้สูงขึ้นตลอดเวลา แล้วเราอาศัยความร่วมมือร่วมใจกัน เวลาทำโปรโมตเพลงไม่ได้มาจากฝั่งการตลาดฝั่งเดียว เป็นการร่วมมือร่วมใจกันในทุกๆ ส่วนของ What The Duck ที่จะช่วยกันพาเพลงเพลงนี้ไปในทิศทางที่ดีกว่าเดิม
ขอบคุณสถานที่ Format BKK Ari