พอล ครุกแมน เตือนกำแพงภาษีทรัมป์กระทบชนชั้นกลางอเมริกันหนัก
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งตั้งกำแพงภาษีศุลกากรรอบใหม่คืนวันพฤหัสบดีที่ 31 กรกฎราคม 2025 หรือวันศุกร์ที่ 1 สิงหาคมตามเวลาประเทศไทย ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ปิดตลาดวันศุกร์ร่วงไปมากกว่า 500 จุด ทั้งข่าวกำแพงภาษีและข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐที่ออกมาต่ำกว่าคาดไว้ก่อให้เกิดความกังวลภาษีส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม แต่ต่อมาหุ้นวอลล์สตรีทปรับขึ้นวันจันทร์ (4 ส.ค.) โดยดัชนีดาวโจนส์ดีดตัวขึ้น 600 จุดลบล้างที่ร่วงลงวันศุกร์
ภาวะตลาดผันผวนสะท้อนความสับสนของนักลงทุน ในแง่หนึ่งผลประกอบบริษัทสหรัฐโดยเฉพาะกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับไฮเทคโนโลยีเอไอออกมาดีเกินคาดเป็นปัจจัยหนุนตลาด แต่อีกด้านหนึ่งก็กลัวผลกระทบภาษีเริ่มทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอ ซึ่งทำให้ตลาดเชื่อมั่นมากขึ้นว่าจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐลดดอกเบี้ยลงในเดือนหน้า ปัจจัยดอกเบี้ยจึงมาหนุนตลาดหุ้นในวันจันทร์ แต่ก็มีเสียงเตือนว่า หุ้นสหรัฐอาจจะร่วงลงแรงในวันหลังๆได้
ประเด็นสำคัญคือ ภาษีของทรัมป์จะกระทบการค้าโลกแค่ไหน กระทบเศรษฐกิจสหรัฐมากน้อยแค่ไหน ส่วนไทยเราก็คงหนีไม่พ้นว่าเราจะได้รับผลกระทบรุนแรงหรือไม่
จากการประเมินของสำนักวิจัยของมหาวิทยาลัยเยล Yale Budget Lab สรุปว่า การขึ้นภาษีนำเข้ารอบใหม่ของทรัมป์ระหว่าง 10-41% ทำให้ผู้บริโภคในสหรัฐจะต้องเผชิญอัตราภาษีศุลกากรเฉลี่ย 18.3 % ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับแต่ปี 1934 หรือ 91 ปีที่แล้ว โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 2.4% เมื่อต้นเดือนมกราคมปีนี้
นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล พอล ครูกแมน เรียกกำแพงภาษีทรัมป์ว่าเป็น “สมูท-ฮอว์ลีย์ 2.0” (Smoot-Hawley 2.0)
1930 Smoot-Hawley เป็นกฎหมายกำแพงภาษีที่ประกาศใช้ในปี 1930 โดยประธานาธิบดีเฮอร์เบิร์ต ฮูเวอร์
ครุกแมนและนักวิเคราะห์จำนวนมากเชื่อว่า อัตราภาษีสูงของทรัมป์จะคงอยู่ไปอีกนาน
ครุกแมนระบุไว้ในแพลตฟอร์ม Substack.com ว่า กำแพงภาษีใหม่เป็นการลบล้างผลลัพธ์ของการเปิดเสรีทางการค้าที่มานานถึง 90 ปี เขากล่าวว่า ที่จริงแล้ว อัตราภาษีศุลกากรเฉลี่ยของสหรัฐฯ ที่เคยต่ำมากเมื่อไม่กี่เดือนก่อนที่อยู่เหนือศูนย์เปอร์เซนต์เล็กน้อย ตอนนี้กลับมาอยู่ในระดับใกล้เคียงยุค Smoot-Hawley อีกครั้ง เว้นเสียแต่ว่าศาลจะตัดสินว่าภาษีศุลกากรของทรัมป์ผิดกฎหมาย แต่ครุกแมนก็เชื่อว่าศาลฎีกาจะรับรองกำแพงภาษีของทรัมป์ ดังนั้น
“Smoot-Hawley 2.0 คือความปกติใหม่” ครุกแมนย้ำ
ใครจ่ายภาษี?
ทรัมป์อ้างว่า ประเทศผู้ส่งออกสินค้าจะรับภาระภาษีทำให้ราคาสินค้านำเข้าไม่ถูกปรับขึ้น แต่ครุกแมนชี้ว่า โดยปกติผู้ส่งออกจะรับภาระเพียงบางส่วนเท่านั้นโดยอาจจะยอมลดราคาสินค้าลงบ้าง หรือไม่ก็เพราะค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น แต่เขายังไม่เห็นหลักฐานว่าสองสิ่งนี้เกิดขึ้น เงินดอลลาร์กลับอ่อนค่าลงเพราะความไม่แน่นอนของนโยบายของทรัมป์ ราคาสินค้าค่อยๆปรับขึ้นอย่างคงเส้นคงวา ราคาสินค้ายังไม่ได้พุ่งสูงทันที เพราะผู้นำเข้าเร่งนำเข้าสินค้าล่วงหน้าก่อนภาษีจะมีผลบังคับ พวกเขาเอาของในสต็อกเก่ามาขาย บางบริษัทยังลังเลขึ้นราคาเพราะกังวลว่าลูกค้าหายและเนื่องจากทรัมป์ขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมทำให้ต้นทุนผู้ผลิตในสหรัฐแพงขึ้น ผู้ผลิตต่างประเทศจึงไม่ต้องลดราคาสินค้าตนลงแต่ก็ยังแข่งขันกับผู้ผลิตในสหรัฐได้
แต่เมื่อใดที่ธุรกิจต่างๆปรับตัวเข้ากับระบอบภาษีศุลกากรใหม่ เริ่มขึ้นราคาสินเพื่อส่งผ่านภาระภาษีไปยังผู้บริโภค ภาษีเหล่านี้จะทำให้สินค้านำเข้ามีราคาแพงขึ้นมาก ผู้บริโภคจะซื้อน้อยลง ส่งผลให้ปริมาณการค้าลดลงตาม
การค้าของสหรัฐกับคู่ค้าจะหดตัวเท่าไร
ในปี 2024 สินค้านำเข้าของสหรัฐฯ คิดเป็น 11.2% ของ GDP จากการประเมินของครุกแมน ภาษีศุลกากรของทรัมป์จะทำให้ตัวเลขนี้ลดลงเหลือ 7.1% หรือลดลง 36% ใกล้เคียงกับการลดลง 40% ของสัดส่วนนำเข้าในช่วงปี 1929-1932 แม้ว่าสาเหตุเบื้องหลังจะต่างกันมาก
ดังนั้น ภาษีของทรัมป์จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการค้าของสหรัฐฯ
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
ต้นทุนของภาษีศุลกากรของทรัมป์
ตามแบบจำลองของครุกแมน ภาษีศุลกากรของทรัมป์จะทำให้GDP ของสหรัฐฯ ลดลง -0.37% ( percentage point) เมื่อเทียบกับกรณีที่ไม่มีภาษีศุลกากรนี้
หลายคนอาจรู้สึกว่า ตัวเลขนี้เล็กน้อยกว่าที่คาดไว้ แต่ตัวเลขนี้ไม่แตกต่างจากผลประมาณการของสำนักวิจัยอื่นๆ Yale Budget Lab ซึ่งใช้แบบจำลองที่ซับซ้อนกว่ามาก ก็ได้ตัวเลขใกล้เคียงกันคือ -0.4%ในระยะยาว หรือลดลง -0.5% ในปีนี้และปีหน้า
ครุกแมนแจกแจงว่า เหตุที่นักเศรษฐศาสตร์พูดถึงข้อดีของการค้าเสรีและข้อเสียของนโยบายกีดกันการค้า แม้ตัวเลขเหล่านี้จะดูต่ำกว่าที่หลายคนคาดไว้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ 2 เหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้คนคิดว่าภาษีศุลกากรสร้างความเสียหายต่อภาพรวมเศรษฐกิจมากกว่าความเป็นจริง
1.ประเด็นเกี่ยวกับโลกาภิวัตน์ฟังดูน่าตื่นเต้นและสำคัญ ลองเปรียบเทียบการพูดคุยเรื่องภาษีศุลกากรกับเรื่องการแบ่งเขตที่อยู่อาศัย (Zoning) ซึ่งไม่น่าตื่นเต้นนัก แต่การประเมินที่สมเหตุสมผลระบุว่า ต้นทุนจากการแบ่งเขตที่เข้มงวดนั้นสูงถึง -2% ของ GDP ซึ่งสูงกว่าต้นทุนของภาษีศุลกากรของทรัมป์มาก
2.นักเศรษฐศาสตร์เอง มักจะโอ้อวดความสำเร็จของตน ทฤษฎีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (Comparative Advantage) ซึ่งพิสูจน์ว่าการค้าระหว่างประเทศส่งผลดีต่อทั้งสองฝ่าย ถือเป็นชัยชนะทางความคิด และนักเศรษฐศาสตร์เข้าใจดี แต่คนทั่วไปกลับไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่นักเศรษฐศาสตร์จะเน้นย้ำความผิดพลาดของนโยบายภาษีศุลกากรของทรัมป์ และลดความสำคัญของผลกระทบจริงที่ค่อนข้างน้อยต่อ GDP
กระทบรุนแรงต่อครัวเรือนรายได้ปานกลาง-ต่ำ
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขต้นทุนต่อเศรษฐกิจโดยรวมนี้อาจไม่ใช่ตัวเลขที่ควรมองเป็นหลัก แต่ยังมีเหตุผลสำคัญประการสุดท้ายที่ภาษีศุลกากรกลายเป็นประเด็นใหญ่คือ แม้ผลกระทบต่อ GDP รวมจะน้อยกว่าที่คิด แต่ผลกระทบต่อครัวเรือนจำนวนมากจะรุนแรงกว่ามาก“ภาษีศุลกากรของทรัมป์จะทำให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคสูงขึ้นประมาณ 2% ซึ่งหมายถึงครอบครัวทั่วไปจะสูญเสียรายได้เฉลี่ยประมาณ 2,000 ดอลลาร์ต่อปี” ครุกแมนกล่าว
แล้วทำไมครอบครัวทั่วไปจึงได้รับผลกระทบมากกว่าเศรษฐกิจโดยรวม? คำตอบคือ “โดยส่วนใหญ่แล้ว ทรัมป์ไม่ได้ทำสงครามการค้ากับประเทศอื่น แต่กำลังทำสงครามชนชั้นกับชาวอเมริกันกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางและต่ำ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มคนผู้มั่งคั่ง” ครุกแมนสรุป