ธปท.ชี้ "ดีล19%" ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นสัญญาณเตือนที่ไทย "ต้องเร่งปรับตัว"
นางสาวชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายองค์กรสัมพันธ์ และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวกับ “กรุงเทพธุรกิจ”ว่า หลังสหรัฐประกาศภาษีนำเข้ากับไทยที่ 19% ถือว่าไม่ได้แตกต่างไปจากที่เคยคาดการณ์ไว้ และมองว่าการที่ไทยได้อัตราภาษีที่ 19% ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี หากเทียบกับอัตราเดิมที่ 36%
แต่อย่างไรก็ตาม แม้ด้านอัตราภาษีจะมีความชัดเจนมากขึ้น และถือเป็นจุดสำคัญที่ช่วยลดความไม่แน่นอนที่เคยมีอยู่ก่อนหน้านี้ต่อภาคธุรกิจ ทำให้ก่อนหน้านี้ ธุรกิจอาจอยู่ในภาวะลังเล ไม่แน่ใจว่าจะเดินหน้าหรือหยุดชะงัก หรือสั่งสินค้าดีหรือไม่
แต่เมื่อมีความแน่นอนของอัตราภาษีในระดับหนึ่งนี้ อาจทำผลทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจสามารถเห็นทิศทางที่จะดำเนินต่อไปได้ ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนการดำเนินงานได้ชัดเจนขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม มองว่า แม้ตัวภาษีมีความชัดเจนมากขึ้น ยังไม่ใช่อัตราที่สมบูรณ์ทั้งหมด เนื่องจากต้องติดตามอัตราภาษีของประเทศคู่ค้าคู่แข่ง โดยเฉพาะประเทศเม็กซิโกและจีน และต้องติดตามตัวแปรอื่นๆ ที่ต้องปรับตัวต่อไปในอนาคต
อย่างไรก็ตาม แม้ระดับภาษีของไทยจะลดลงจาก 36% มาสู่ 19% แต่สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือผลกระทบต่อภาคการส่งออกไปยังสหรัฐฯที่มีราคาแพงขึ้นอย่างแน่นอน และผลกระทบอาจไม่เกิดขึ้นอย่างเท่าเทียมกันในทุกอุตสาหกรรมหรือทุกธุรกิจ แต่จะเป็นผลกระทบเฉพาะบางภาคส่วน (sector)
นอกจากนี้ไม่เฉพาะภาษีนำเข้า แต่สิ่งทีต้องติดตามคือมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษี (non-tariff barriers) ซึ่งมาตรการเหล่านี้ก็จะมีผลกระทบเพิ่มเติมที่อาจไม่ใช่แค่เรื่องการส่งออกโดยตรง แต่ยังรวมถึงประเด็นอื่นๆ ด้วย
และหนึ่งในภาคส่วนที่ถูกกล่าวถึงที่สำคัญมากและยังต้องจับตาดู คือภาษีชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่ยังเผชิญความไม่แน่นอนอยู่
ทั้งนี้ มองว่า การปรับภาษีนำเข้าของสหรัฐครั้งนี้ ถือเป็นสัญญาณเตือนให้ทั่วโลกปรับตัว เพื่อรับกับการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ทางการค้าของโลกในระยะยาว (trade landscape) จากเดิมที่การส่งออกสินค้าเคยมีภาษีที่ต่ำมาก หรือค่อนข้างเป็นอิสระ แต่ตอนนี้กลับมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
ดังนั้น ครั้งนี้มองว่าภาคธุรกิจจำเป็นต้อง “ปรับตัว” เพื่อรับผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาว สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การค้าอย่างถาวร
ขณะเดียวกันภาครัฐ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจต้องมีการเข้าไปช่วยเหลือภาคธุรกิจต่างๆที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจไม่ใช่แค่เรื่องทางการเงินเพียงอย่างเดียว หรือเพียงแค่ช่วยด้านสภาพคล่องเพื่อการปรับตัวเท่านั้น
แต่ยังรวมถึงมาตรการด้านกฎระเบียบต่างๆการผ่อนคลายกฎเกณฑ์ เพื่อช่วยในการจัดการปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่นimport flooding ต้องทำให้มาตรฐานและการแข่งขันที่เป็นธรรม ดังนั้นมาตรการช่วยเหลือควรครอบคลุมหลายมิติ ไม่ใช่แค่การอัดฉีดเงินเท่านั้น
“ผลกระทบครั้งนี้ รายใหญ่อาจปรับตัวได้ง่ายกว่า รายเล็ก ดังนั้นการช่วยเหลือต้องแตกต่างกัน และมาตรการระยะยาวก็ต้องช่วยส่งเสริมให้ธุรกิจสามารถปรับตัวได้ และสร้างความเข้มแข็งด้วยตนเองให้ได้ ซึ่งการปรับตัวนี้ควรจะทำมานานแล้ว ดังนั้นการขึ้นภาษีในครั้งนี้อาจเป็นแรงกระตุ้นหรือแรงผลักดันที่ทำให้ธุรกิจตระหนักว่าไม่สามารถทำแบบเดิมได้อีกต่อไป และจำเป็นต้องมีการปรับตัว หากธุรกิจเห็นทิศทางที่ชัดเจนแล้ว สภาพคล่องทางการเงินก็จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้พวกเขาสามารถดำเนินการปรับตัวได้”