เปิดรายละเอียดดีล ไทย-กัมพูชา แลกอะไรบ้าง เพื่อภาษีทรัมป์ 19%
หลังเจรจายืดเยื้อยาวนานหลายเดือน สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศอัตราภาษีนำเข้าใหม่ในวันนี้ (1 ส.ค.) โดยปรับลดภาษีสินค้าจากไทยและกัมพูชาลงเหลือ 19% จากเดิม 36% ภายหลังผู้นำสหรัฐฯ ขู่ระงับข้อตกลงการค้ากับทั้งสองประเทศ หากไม่สามารถยุติความขัดแย้งรุนแรงบริเวณชายแดนซึ่งคร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากได้
มาเลเซีย ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเจรจาหยุดยิง ได้รับอัตราเดียวกันที่ 19% เช่นเดียวกับไทยและกัมพูชา ซึ่งสอดคล้องกับอัตราที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้สำหรับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เช่น อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกอันดับหนึ่งของไทยและกัมพูชา
เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้นำไทยและกัมพูชาตกลงหยุดยิงทันที เพื่อยุติการสู้รบที่รุนแรงที่สุดในรอบกว่า 10 ปี ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 40 ราย แม้สถานการณ์โดยรวมจะคลี่คลายลง แต่ฝ่ายไทยยังคงกล่าวหากัมพูชาว่าละเมิดข้อตกลงด้วยการยิงโจมตีโดยไม่มีเหตุอันควร ความตึงเครียดตามแนวชายแดนจึงยังไม่คลี่คลายอย่างสมบูรณ์
คำถามสำคัญที่ตามมาคือ ไทยและกัมพูชาต้อง “แลก” อะไรเพื่อแลกกับอัตราภาษีใหม่นี้ เช่นเดียวกับประเทศอื่นอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินโดนีเซีย ที่ยอมเปิดตลาดสินค้าให้สหรัฐฯ มากขึ้น รวมถึงลงทุนโดยตรงในเศรษฐกิจอเมริกัน
ในบทความนี้ SPOTLIGHT สรุปข้อมูลทั้งหมดมาให้
10 เงื่อนไขหลักที่ไทยยอม “แลก” เพื่อภาษี 19%
หลังมีประกาศและคำสั่งฝ่ายบริหารของสหรัฐฯ ออกมา รัฐบาลไทยได้ออกมาเคลื่อนไหว โดยระบุว่าข้อตกลงนี้ถือเป็น “ความสำเร็จ” ที่จะช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจที่พึ่งพาการส่งออก เสริมความเชื่อมั่นของนักลงทุน และเปิดโอกาสใหม่สำหรับการเติบโต ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิชัย ชุณหวชิร ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมเจรจา กล่าวว่าข้อตกลงนี้สะท้อน “มิตรภาพอันแน่นแฟ้นและความร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างไทยกับสหรัฐฯ”
การรักษาอัตราภาษีในระดับใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้านจะช่วยลดแรงกดดันต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งกำลังเผชิญปัจจัยลบหลายด้าน ทั้งหนี้ครัวเรือนในระดับสูงสุดในอาเซียน การบริโภคภายในประเทศที่ซบเซา การชะลอตัวของภาคท่องเที่ยว และช่วยคลี่คลายความไม่แน่นอนที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ
จากคำให้สัมภาษณ์ของ นายพิชัย ต่อสื่อภายในประเทศ รัฐบาลไทยสามารถเจรจาลดอัตราภาษีตอบโต้ให้เหลือ 19% โดยแลกกับเงื่อนไขสำคัญ 10 ประการ ครอบคลุมด้านการค้า การลงทุน และความมั่นคง ซึ่งสะท้อนการตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ในระดับประเทศ ได้แก่
1. ยกเว้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ กว่า 90% ของรายการทั้งหมด ไทยเสนอเปิดภาษีเป็น 0% สำหรับสินค้าสหรัฐฯ ราว 10,000 รายการ (จากทั้งหมดประมาณ 11,000 รายการ) ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มสินค้าที่ไทยไม่ผลิตเองหรือผลิตไม่เพียงพอ เช่น เครื่องมือแพทย์ ชิ้นส่วนยานยนต์ขั้นสูง และอาหารเฉพาะทาง
2. ลดอุปสรรคทางเทคนิคในการค้า (NTBs) ไทยให้คำมั่นจะลดมาตรการกีดกันทางเทคนิค โดยปรับกระบวนการศุลกากร เช่น ใช้ระบบตรวจสอบภายหลัง (post-clearance audit) เพื่ออำนวยความสะดวกให้สินค้าสหรัฐฯ ผ่านเข้าไทยได้รวดเร็วขึ้น ลดต้นทุนและความล่าช้า
3. เปิดทางให้สหรัฐฯ เข้าลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและอีอีซี ไทยเสนอ fast-track และสิทธิประโยชน์ BOI แก่บริษัทสหรัฐฯ โดยมุ่งเป้าไปที่ 3 กลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ พลังงานสะอาด เซมิคอนดักเตอร์/ICT และโลจิสติกส์ เพื่อดึงสหรัฐฯ เข้ามาเป็นพันธมิตรการลงทุนระยะยาวในอาเซียน
4.สั่งซื้อ LNG และเครื่องบิน Boeing จากสหรัฐฯ ภาครัฐและเอกชนไทยร่วมกันวางแผนสั่งซื้อก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) และเครื่องบิน Boeing รุ่นใหม่ เพื่อช่วยลดการเกินดุลการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นปมเรื้อรังที่สหรัฐฯ แสดงความกังวลมานาน
5.ให้คำมั่นลดดุลการค้าเกินดุลกับสหรัฐฯ ลง 70% ภายใน 5 ปี เสนอแผนปฏิบัติการเพื่อลดดุลการค้า (ที่ปัจจุบันไทยเกินดุลมากกว่า 1.2 ล้านล้านบาทต่อปี) ให้เหลือเพียง 30% ภายในปี 2573 โดยเน้นการเพิ่มการนำเข้าและจูงใจให้มีการลงทุนขาเข้า
6. ยอมใช้กติกาใหม่ด้านถิ่นกำเนิดสินค้า (RVC) ไทยยินยอมให้ใช้เกณฑ์ตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าอย่างเข้มงวดมากขึ้น เพื่อตัดเส้นทาง “สินค้าจีนอ้อมทางไทย” และสร้างความมั่นใจว่าสินค้าส่งออกของไทยเป็นของไทยจริง ไม่ถูกใช้เป็นทางผ่านเพื่อหลบภาษี
7. เว้นภาษีบริการดิจิทัลจากบริษัทสหรัฐฯ ชั่วคราว เสนอเว้นภาษี 5% เป็นเวลา 2 ปี สำหรับบริการดิจิทัลจากสหรัฐฯ เช่น AWS และ Google Cloud เพื่อดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีอเมริกันให้เข้ามาลงทุนและให้บริการในไทยมากขึ้น
8. เพิ่มโควตานำเข้าพืชเกษตรจากสหรัฐฯ ไทยยินดีเพิ่มการนำเข้าข้าวโพด ข้าวบาร์เลย์ และถั่วเหลือง เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และเป็นการตอบรับต่อแรงกดดันจากกลุ่มเกษตรกรสหรัฐฯ
9. รักษาอัตราภาษีสินค้ากลุ่มยุทธศาสตร์บางประเภท แม้จะเปิดภาษี 0% เป็นวงกว้าง แต่ไทยยังคงอัตราภาษีไว้สำหรับสินค้าที่มีความสำคัญต่อภาคเกษตรและอุตสาหกรรมในประเทศ เช่น ข้าว น้ำตาล ผลไม้แปรรูป และอาหารแปรรูป เพื่อปกป้องผู้ผลิตภายในประเทศ
10.ปรับท่าทีต่อข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา แม้ไม่ได้ระบุในเอกสารข้อตกลงอย่างเป็นทางการ แต่แหล่งข่าวในรัฐบาลสหรัฐฯ มองว่าท่าทีของไทยในการลดความตึงเครียดบริเวณชายแดนกัมพูชา มีผลต่อการตัดสินใจลดภาษีในครั้งนี้
โดยสรุปแล้ว ประเทศไทยเลือกใช้ “ยุทธศาสตร์เปิดเกมรุก” ทั้งในมิติการค้า การลงทุน และความมั่นคง เพื่อให้ได้มาซึ่งการลดภาษีจาก 36% เหลือ 19% ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 ข้อตกลงนี้ไม่รวมประเด็นการตั้งฐานทัพสหรัฐฯ ในไทยตามที่มีข่าวก่อนหน้านี้ และถือเป็นความตกลงที่ครอบคลุมเฉพาะด้านเศรษฐกิจ การค้า และความร่วมมือระหว่างประเทศเท่านั้น
กัมพูชายอมแลกอะไรบ้างเพื่ออัตราภาษี 19% จากสหรัฐฯ
ด้าน กัมพูชา ซึ่งได้รับอัตราภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ ที่ 19% เช่นเดียวกับไทย ได้ตัดสินใจเจรจาขอลดภาษีโต้ตอบของประธานาธิบดีทรัมป์ ด้วยการยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ทั้งหมด พร้อมทั้งเตรียมสั่งซื้อเครื่องบิน Boeing 737 Max มากถึง 20 ลำ เพื่อช่วยลดปัญหาดุลการค้าที่ไม่สมดุลกับวอชิงตัน ตามรายงานของ Bloomberg ซึ่งอ้างคำกล่าวของรองนายกรัฐมนตรีซุน จันทอล
“เพื่อปรับปรุงสมดุลการค้า ฝั่งสหรัฐฯ แนะนำให้เราทบทวนอุปสรรคทางภาษี มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี รวมถึงพิจารณาสินค้าที่สามารถจัดซื้อจากสหรัฐฯ ได้” ซุนกล่าว “ขณะนี้ เราได้ยกเลิกภาษีนำเข้าทั้งหมดแล้ว”
นอกจากนี้ ในช่วงเช้าของวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2568 นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ยังได้โพสต์ข้อความผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียทางการของตนเพื่อขอบคุณประธานาธิบดีทรัมป์ และแสดงความยินดี โดยมีเนื้อหาดังนี้
“ผมขอขอบคุณท่านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ให้ความสนใจด้วยตนเองในการริเริ่มและส่งเสริมการหยุดยิงระหว่างกองทัพกัมพูชาและไทย รวมถึงการติดตามการดำเนินการหยุดยิงอย่างใกล้ชิด เพื่อมุ่งสู่สันติภาพถาวรและการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและไทยในอนาคต
นอกจากนี้ ท่านประธานาธิบดียังได้แสดงความเข้าใจต่อกัมพูชา และเปิดโอกาสให้สามารถเสริมสร้างการพัฒนาเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างกัมพูชากับสหรัฐอเมริกาได้อย่างต่อเนื่อง
ในระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างผมกับท่านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เมื่อวันที่ 26 และ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา ผมได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของสันติภาพและการพัฒนาในกัมพูชา ซึ่งเป็นประเทศที่เพิ่งผ่านพ้นสงครามเรื้อรังมายาวนาน
ในโอกาสนั้น ผมยังได้ขอให้ท่านประธานาธิบดีแสดงความเข้าใจต่อการผ่อนปรนอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากกัมพูชา ให้อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจะช่วยให้กัมพูชามีโอกาสพัฒนาประเทศและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนกัมพูชาได้ต่อไป
ท่านโดนัลด์ ทรัมป์ ได้แสดงความสนใจอย่างยิ่งต่อประวัติศาสตร์อันขมขื่นของกัมพูชา รวมถึงความตั้งใจที่จะช่วยให้ประชาชนกัมพูชาบรรลุถึงสันติภาพ และเดินหน้าพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยในเรื่องคำขอเกี่ยวกับภาษี ท่านประธานาธิบดีได้กล่าวกับผมเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคมว่า ท่านจะพิจารณา และบอกกับผมว่า เรื่องนี้จะทำให้กัมพูชามีความสุข
วันนี้ ท่านประธานาธิบดีได้ตัดสินใจลดอัตราภาษีสินค้าส่งออกจากกัมพูชาที่นำเข้าสู่สหรัฐอเมริกาลงเหลือ 19% ผมขอใช้โอกาสนี้แสดงความชื่นชมต่อทีมเจรจาด้านภาษีกับสหรัฐฯ ที่นำโดยท่านรองนายกรัฐมนตรีซุน จันทอล รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ทำงานอย่างหนักในการเจรจา จนสามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมจนถึงตอนนี้”