Gen Z ไม่ใช่ปัญหาแต่คือโอกาส ผู้นำต้องกล้าลงทุนในคนรุ่นใหม่
ไม่นานมานี้ ประเด็นข่าวหนึ่งที่เกี่ยวกับวัยทำงานคนรุ่นใหม่แพร่สะพัดไปทั่ว สร้างทั้งเสียงหัวเราะ ความไม่พอใจ และความกังวลในเวลาเดียวกัน นั่นคือประเด็นที่ว่า “26% ของคนสมัครงาน Gen Z มาสัมภาษณ์งานโดยพาพ่อแม่มาด้วย” หลายคนหัวเราะขำ หลายคนไม่พอใจ แต่เบื้องหลังความขำขันนี้ กลับซ่อนคำถามสำคัญในห้องประชุมว่า Gen Z พร้อมจริงหรือยังสำหรับการทำงานในโลกจริง?
จากการสำรวจโดย Resume Templates ตัวเลขนี้ไม่ใช่เรื่องตลก แต่สะท้อนความจริงที่หลายบริษัทกำลังเผชิญอยู่ คนรุ่นใหม่เข้ามาในตลาดแรงงานพร้อมศักยภาพมหาศาล แต่บ่อยครั้งพวกเขาก็ยังขาดทักษะทางสังคม อารมณ์ และความเป็นมืออาชีพที่จำเป็นต่อการเติบโต
และนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเห็นปรากฏการณ์แบบนี้…
วัยทำงานทุกเจนเนอเรชันล้วนเคย “ถูกบ่น” มาก่อน
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่ละเจนเนอเรชันต่างก็เคยถูกบ่น ถูกชี้โทษแบบเหมารวมมาก่อน ไม่ว่าจะเป็น
- Baby Boomers เคยถูกมองว่าเป็นคนหัวแข็งและขบถ
- Gen X ถูกมองว่าไม่ใส่ใจ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
- Gen Y (Millennials) เคยถูกกล่าวหาว่า เป็นรุ่นที่เอาแต่ใจ
และตอนนี้ก็ถึงคิวของ Gen Z ที่ถึงแม้พวกเขาจะเป็นรุ่นจะชำนาญเทคโนโลยีและตื่นตัวกับโลก แต่ก็ถูกวิจารณ์ว่า “ไม่พร้อม” สำหรับการทำงาน
แต่สิ่งที่แตกต่างในรอบนี้คือ.. แทนที่จะโทษหรือล้อเลียนพวกเขา ผู้นำองค์กรบางคนกลับเริ่มหันมาตั้งคำถามว่า หรือเป็นเพราะบริษัทเองต่างหากที่มีส่วนทำให้เกิดปัญหานี้หรือไม่?
การฝึกอบรม-ให้คำปรึกษา แก่คนรุ่นใหม่ อาจคือคำตอบ
วอร์เนอร์ แอล. โธมัส (Warner L. Thomas) ซีอีโอของ Sutter Health เครือระบบสาธารณสุขขนาดใหญ่ในแคลิฟอร์เนียตอนเหนือ เคยกล่าวประโยคที่กระแทกใจไว้ว่า “อนาคตของแรงงานจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ เราสร้างมันด้วยความเชื่อและความเป็นไปได้ เมื่อเราลงทุนในด้านการฝึกอบรมและการให้คำปรึกษา เราไม่ได้แค่เติมเต็มตำแหน่งงาน แต่เรากำลังปลดล็อกศักยภาพของผู้คน”
โธมัสชี้ชัดว่า การชี้นิ้วโทษ หรือการจ้างงานเฉพาะคนที่มีประสบการณ์ ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาเรื่อง Gen Z ยังขาดทักษะและทัศนคติที่จำเป็นในการทำงาน ซึ่งพวกเขากำลังเข้าสู่ตลาดแรงงานเป็นส่วนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ในทิศทางเดียวกัน มีกลุ่มผู้บริหารและผู้เชี่ยวชาญหลายคน เห็นตรงกันว่า ผู้นำต้อง “รับผิดชอบ” และ “ลงมือทำอะไรบางอย่าง” เพื่อสนับสนุนให้วัยทำงานคนรุ่นใหม่พร้อมในโลกการทำงานมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เทรซี ไมเออร์ (Tracie Meier) รองประธานฝ่าย Early Careers ที่ Oracle บอกว่า “ถ้าคนรุ่นใหม่ไม่พร้อมทั้งทางสังคม อารมณ์ และความเป็นมืออาชีพ เราก็จะเจอปัญหาในเชิงเทคนิคและศักยภาพตามมา ดังนั้นผู้นำต้องพัฒนาวิธีการทำงานและดูแลเรื่องนี้จริงจัง”
การโบ้ยว่าคนรุ่นใดรุ่นหนึ่งผิด ความสัมพันธ์ในที่ทำงานจะยิ่งพัง
นอกจากนี้ ก็ยังมีผู้นำอีกหลายคนที่มีมุมมองคล้ายกัน ได้แก่
- เคน เมย์ (Ken May) อดีตซีอีโอ FedEx Office และ TopGolf สะท้อนมุมมองว่า “ถ้าคนรุ่นใหม่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมการทำงานได้ วัฒนธรรมนั้นก็จะค่อยๆ พัง เราในฐานะผู้นำมีหน้าที่บอกว่า เราช่วยคุณได้ ไม่ใช่บอกว่า เฮ้..คุณผิด”
- เชสเตอร์ เอลตัน (Chester Elton) นักเขียนหนังสือขายดี Leading with Gratitude บอกว่า “ความสัมพันธ์คือหัวใจของผลงาน ถ้าเราติดป้ายว่าวัยทำงานรุ่นหนึ่งผิด ความสัมพันธ์ในที่ทำงานก็จะพัง เราทุกคนต้องการการยอมรับ ไม่สำคัญว่าคุณเกิดเมื่อไหร่”
- ซินเธีย เทนีเอนเต-แมทสัน (Cynthia Teniente-Matson) อธิการบดี San Jose State University ชี้ว่า “คนรุ่นใหม่ไไม่ใช่ปัญหาที่ต้องแก้ไข แต่คือคำมั่นในการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการทำงาน ที่ต้องทำให้สำเร็จ มันคือหน้าที่และโอกาสของบริษัทในการมอบเครื่องมือที่จำเป็นให้พวกเขา เพื่อพร้อมสำหรับโลกการทำงานทั้งในปัจจุบันและอนาคต”
- สกอตต์ คูย์เคนดอล (Scott Kuykendall) ผู้กำกับการศึกษา Stanislaus County “Gen Z ไม่ได้แค่โตมากับสมาร์ทโฟน แต่พวกเขาแทบจะมีชีวิตอยู่ในนั้น ทำให้สมาธิสั้นลง ความสัมพันธ์กับคนจริงๆ ตื้นเขินผิวเผิน และความกังวลเพิ่มขึ้น วันนี้ผู้ใหญ่จึงต้องช่วยพวกเขากู้คืนตัวตนและความหมายของชีวิตและการทำงาน”
ลด ละ เลิก “กล่าวโทษเรื่อง Gen” สู่การสร้างคุณค่าใหม่
ยกตัวอย่างองค์กรที่ให้ความสำคัญเรื่องนี้อย่างจริงจัง นั่นคือ Sutter Health องค์กรดูแลสุขภาพแบบไม่แสวงหากำไรในสหรัฐ ไม่ได้แค่พูด แต่ลงมือทำจริง โดยร่วมมือกับ Seity Health องค์กรที่พัฒนาหลักสูตรเสริมทักษะชีวิต สุขภาวะ และความพร้อมในการทำงาน โดยเน้นให้คนรุ่นใหม่เข้าใจ “คุณค่าหลัก” (Core Values) ของตัวเองก่อน เพื่อสร้างแรงจูงใจภายในและการเติบโตที่ยั่งยืน
คริส ฮอว์ลีย์ (Chris Hawley) และ แซม โรเมโอ (Sam Romeo) ผู้ร่วมก่อตั้งและแพทย์จาก Seity Health อธิบายว่า การค้นหา “คุณค่าหลัก” ช่วยให้คนรุ่นใหม่สร้างอัตลักษณ์ที่มั่นคง มีสุขภาวะที่ดีขึ้น เครียดน้อยลง และทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ทั้งนี้ ตามข้อมูลผลวิจัยและผลสำรวจจากหลากลายแหล่งที่มา ต่างก็รายงานว่าภายในสิ้นปี 2025 คาดว่า Gen Z จะคิดเป็น 27% ของแรงงานทั้งหมด
- 44% ของ Gen Z รายงานว่า รู้สึกหมดหวังอย่างต่อเนื่อง
- 74% ของผู้จัดการฝ่ายจ้างงาน กังวลทักษะการสื่อสารระหว่างบุคคลของ Gen Z
- 70% ของผู้จัดการเชื่อว่า Gen Z ยังไม่พร้อมทำงาน
- แม้แต่ 65% ของบัณฑิตเจน Gen Z เอง ก็คิดว่าตนยังไม่พร้อมสู่ตลาดแรงงาน
บวกกับอัตราความวิตกกังวล ซึมเศร้า และภาวะหมดไฟที่พุ่งสูงขึ้น ยิ่งทำให้เห็นว่านี่ไม่ใช่แค่ “ปัญหาการพัฒนาบุคลากร” แต่คือ ปัญหาสุขภาพสาธารณะ ด้วย
ปัญหาเรื่องคนรุ่นใหม่ไม่พร้อมทำงาน ต้องแก้ด้วยผู้นำ “กล้าที่จะลงทุนกับ Gen Z” เพราะเอาเข้าจริงพวกเขาไม่ใช่ “ตัวปัญหา” ของโลกการทำงาน แต่คือ “ความท้าทาย” ที่องค์กรต้องการแนวทางใหม่ในการรับมือ อย่างที่ วอร์เนอร์ แอล. โธมัสย้ำชัดเจนว่า “ถ้าอยากได้ผลลัพธ์ที่แตกต่าง ก็ต้องกล้าลงทุนกับวิธีการทำงานใหม่ๆ เริ่มจากการฟัง เข้าใจตัวตนของคนรุ่นใหม่ และสร้างทีมแข็งแกร่งไปด้วยกัน”
อ้างอิง: Forbes, Resumetemplates, cdrewu.edu, Zurich, Gallup