การโตก้าวกระโดดของเพจ ‘สมองไหล’ ที่มีผู้ติดตามหลักล้านสู่การปั้น SHORTCUT สตาร์ทอัพการศึกษา
ในวันที่อินฟลูเอนเซอร์และเพจต่างๆ แข่งขันกันทำคอนเทนต์อย่างดุเดือด นาฟิส อิสลาม เจ้าของเพจสมองไหล ที่มีผู้ติดตามเพจหลักล้าน บอกว่าความจริงแล้วความฝันของเขาไม่ใช่การทำสื่อและไม่ได้มองตัวเองเป็นครีเอเตอร์
ความฝันของนาฟิสตั้งแต่สมัยเรียนคืออยากทำสตาร์ทอัพ แต่ ณ วันที่เริ่มคิดไอเดียครั้งแรกในวัยเรียน เขาไม่มีทุน ไม่มีเครดิต และไม่มีฐานลูกค้า แม้จะเสนอไอเดียกับนักลงทุนหลายปี ก็ไม่สามารถทำให้ความฝันที่อยากทำสตาร์ทอัพเป็นจริงได้ จึงตั้งใจพัฒนาตัวเอง ศึกษาเรียนรู้เรื่องธุรกิจอย่างเข้มข้น จนเกิดเป็น ‘เพจสมองไหล’ ที่ให้ความรู้ด้านการพัฒนาตัวเอง
เส้นทางการทำธุรกิจของนาฟิสเกี่ยวพันกับธุรกิจการศึกษามาโดยตลอด ตั้งแต่โรงเรียนสอนเทควันโด ธุรกิจขายหนังสือและบริการให้คำปรึกษาปัญหาชีวิตด้วยหนังสือภายใต้เพจสมองไหล จนถึงการขายคอร์สเรียนที่ช่วยให้ผู้ที่ฝันอยากทำธุรกิจสามารถสร้างรายได้ พร้อมเรียนรู้ด้านคอนเทนต์ การตลาด และการขาย
เป้าหมายหลักทางธุรกิจของ ‘สมองไหล’ ในทุกวันนี้คือการสนับสนุนผู้ที่อยากเริ่มธุรกิจจากศูนย์โดยไม่ต้องใช้ต้นทุนผ่านคอร์สเรียน เน้นเทคนิคการสอนที่ทุกคนสามารถจับต้องและนำไปใช้ได้จริง นาฟิสเริ่มจากออกแบบและสอนด้วยตัวเอง ก่อนจะชักชวนผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ มาร่วมสอนในเพจสมองไหล โดยหลายคลาสทำยอดสูงถึงหลักสิบล้านบาท
เมื่อมีฐานลูกค้าเหนียวแน่นและพร้อมมากขึ้น วันนี้นาฟิสตัดสินใจเปลี่ยนทิศทางธุรกิจ จากแค่ทำคอร์สขายในเพจ มาทำแอพฯ SHORTCUT ที่รวมคอร์สด้านคอนเทนต์และธุรกิจอย่างจริงจัง โดยออกแบบ UX/UI ให้ใช้งานง่ายเหมือนดูเน็ตฟลิกซ์ เพราะเชื่อว่าการใช้งานต้องง่ายที่สุด ไม่เปลี่ยนพฤติกรรมผู้ใช้ การเรียนต้องไม่ซับซ้อน และทุกคนสามารถเข้าเรียนได้ง่ายไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่
ตลอดระยะเวลาที่ทำธุรกิจมา นาฟิสเชื่อว่า ‘ถ้าทุนน้อย ก็ต้องใช้สมองให้มาก’ การเติบโตของเพจสมองไหลในวันนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าความฝันในการทำสตาร์ทอัพอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม แต่สามารถมีเส้นทางหักโค้งที่เริ่มสร้างฐานลูกค้าจากการทำสื่อได้เหมือนกัน
คุณเริ่มต้นเส้นทางการทำธุรกิจยังไง
เป้าหมายหลักของผมคืออยากทำธุรกิจตั้งแต่เด็ก ตอนอายุประมาณ 10-13 ปี ผมเรียนกีฬาเทควันโด โค้ชสังเกตว่าผมมีความสามารถในการถ่ายทอดและสอน จึงให้ผมช่วยสอนน้องๆ และได้รับโอกาสเป็นผู้ช่วยโค้ช ตอนเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลายราว ม.5-6 ผมเริ่มอยากทำธุรกิจเป็นของตัวเอง แต่ไม่มีทุน ผมซึ่งเป็นนักกีฬาเหรียญทองเลยขอใช้ยิมและอุปกรณ์จากโรงเรียน มาทำโรงเรียนสอนเทควันโดของตัวเอง เพื่อดึงดูดนักเรียนใหม่เข้ามา
ด้วยความที่โรงเรียนผมเป็นโรงเรียนอิสลาม กลุ่มเป้าหมายจึงจำกัดอยู่ในโรงเรียน ดังนั้นพอสอนอยู่ในโรงเรียน 2-3 ปี ผมก็เริ่มมีทุนขยับขยายออกไปทำโรงเรียนเทควันโดข้างนอกชื่อ ‘เดอะ คิงส์ เทควันโด’ เช่าสถานที่และยิมเองที่จังหวัดใกล้เคียงคือยะลา เพื่อขยายกิจการให้ไกลขึ้น เพราะภาคใต้ยังไม่มีธุรกิจยิมที่แข็งแรงในจังหวัดนั้น
อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณสนใจในธุรกิจและการพัฒนาตัวเองตั้งแต่สมัยเรียน
ตอนเรียนปี 4 ในมหาวิทยาลัย ผมมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมแข่งด้านสตาร์ทอัพ ผมไปแข่งและได้เจอกับพี่โมชิ–สุทธิเกียรติ จันทรชัยโรจน์ CEO แห่ง SHIPPOP ซึ่งเป็นกรรมการในงาน ตอนนั้นผมเสนอไอเดียแรกคือทำแอพฯ รวมร้านอาหารฮาลาล ซึ่งเกิดจากประสบการณ์เวลาผมไปแข่งกีฬาในต่างจังหวัดแล้วเห็นปัญหาว่า อาหารสำหรับชาวมุสลิมหาได้ยาก และไอเดียที่สองคือแอพฯ จองคิวบริการต่าง ๆ เช่น ร้านตัดผม สปา เราผ่านไปแข่งต่อในงานสตาร์ทอัพระดับประเทศ แล้วก็ตกรอบไป
หลังงานนั้น พี่โมชิที่ชอบการพิตช์ของผมก็มาชวนฝึกงานและทำงานต่อที่ SHIPPOP ผมเคยเอาไอเดียสตาร์ทอัพไปพิตช์กับพาร์ตเนอร์ของบริษัทตั้งแต่ตอนฝึกงานแต่ไม่มีใครสนใจ ตอนนั้นผมเริ่มสนใจเรียนรู้ธุรกิจเพิ่มเติม ถึงแม้จะเป็นคนที่เคยไม่ชอบอ่านหนังสือ แต่เมื่ออยากเป็นเหมือนคนที่ประสบความสำเร็จด้านธุรกิจ ก็เริ่มหาวิธีเรียนรู้จากยูทูบและหนังสือเสียง อ่านหนังสือทุกเวลาว่าง เวลาพี่โมชิไปงานเกี่ยวกับธุรกิจงานไหนเราก็ตามไปฟัง
จากความสนใจในสตาร์ทอัพ ทำไมถึงหันมาทำเพจ ‘สมองไหล’
ระหว่างนั้นเพื่อนๆ เริ่มถามว่าผมอ่านหนังสืออะไร ผมก็เล่าให้ฟัง พอเล่าไปหลายคน ก็มีคนอยากฟังมากขึ้น ผมเลยเริ่มไลฟ์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวเพื่อตั้งใจสรุปสิ่งที่เรียนรู้ทุกวัน ตั้งชื่อเพจว่า ‘สมองไหล’ เพราะเราเป็นคนที่เวลานอนเราจะปวดหัวข้างเดียวและชอบพลิกท่าไปนอนอีกข้างหนึ่ง ซึ่งความปวดมันก็ไหลไปอีกข้าง กลายเป็นชื่อสมองไหล ซึ่งพอไปเสิร์ชดูทีหลังก็พบว่ามันมีความหมายคือคนเก่งย้ายไปทำงานต่างประเทศ
ความจริงแล้วตอนแรกผมไม่ได้ตั้งใจจะทำเพจสมองไหลเพื่อเป็นธุรกิจ เราไม่ได้อยากเป็นครีเอเตอร์และมองตัวเองเป็น entrepreneur ตั้งแต่ต้น เราอยากทำสตาร์ทอัพมาก แต่นั่งพิตช์ไอเดียแอพฯ จองคิวกับนักลงทุนเป็นปีแล้วไม่เคยได้เงินเลย ตอนนั้นก็ปรับสไลด์ไม่รู้กี่รอบ คุยไม่รู้กี่คน
ด้วยความที่ตอนทำงานที่ SHIPPOP เราโชคดีหลายๆ อย่าง มีโอกาสได้เจอเจ้าของเพจ ‘ไปถึงร้อยล้าน’ ที่มาช่วยสอนการตลาดและการทำคอนเทนต์ที่ออฟฟิศ เราก็เริ่มมองเห็นโอกาสการหาเงินจากการเปิดเพจ คิดได้ว่าการทำธุรกิจแบบสื่อไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากเหมือนสตาร์ทอัพ สามารถทำเองได้เลย ก็เลยเริ่มทำคอนเทนต์อย่างจริงจัง
จุดเปลี่ยนที่ทำให้ ‘สมองไหล’ เป็นที่รู้จักคืออะไร
เราเริ่มจากเขียนบทความข่าวสารความรู้ทั่วไป ตอนแรกเริ่มทำแค่ใน Blockdit ด้วยนะ ไม่ได้ทำในเฟซบุ๊ก เพราะเขียนใน Blockdit แล้วได้ตังค์ พออ่านหนังสือหรือเรียนรู้สิ่งใหม่ก็เอาความรู้เหล่านั้นมาเขียนสรุปเพื่อทํารายได้เสริมหลักร้อยจากแต่ละบทความ อ่านแล้วก็เขียน แค่นั้นเลย จนมีจุดเปลี่ยนเมื่อคุณหนุ่ม กรรชัย นำบทความของเราที่เกี่ยวกับวันรำลึกสึนามิไปเล่าในรายการข่าวใส่ไข่ ซึ่งบทความนั้นพูดถึงเด็กหญิงทิลลี่ สมิธ ที่ช่วยเตือนภัยสึนามิจนหลายคนรอด ช่วงโควิด-19 เราทำบทความเยอะ ก็ได้รับเชิญไปออกรายการโหนกระแส ซึ่งตอนนั้นโหนกระแสยังไม่อินดราม่า จากเพจสมองไหลในเฟซบุ๊กที่ทำมาราว 10 เดือนและมีผู้ติดตามประมาณ 300 คน พอออกรายการก็มีผู้ติดตามพุ่งขึ้นไปที่ 4,000 คน
จากเขียนบทความข่าวสาร คุณเรียนรู้ทักษะการเขียนคอนเทนต์ขายของยังไง
สมัยทำงานประจำผมได้รับมอบหมายให้ริเริ่มโปรเจกต์แฟรนไชส์ และต้องทำคอนเทนต์ขายเครื่องปรินต์เพื่อทดสอบตลาด ผมทดลองทำคอนเทนต์โดยไม่มีสินค้าจริงก่อน เพื่อดูความต้องการจริงๆ ของลูกค้า ช่วงแรกถ้าลูกค้าทักมาจะบอกว่าของหมด สมมติถ้ามีลูกค้าทักเพจมาว่าสนใจ 30 คนใน 1 เดือน เดือนหน้าก็จะสต็อกสินค้า 30 เครื่อง แต่ถ้าไม่มีคนสนใจก็เปลี่ยนไปขายอย่างอื่น กลยุทธ์นี้เป็นวิธีคิดที่เชื่อว่า ‘มีคนซื้อแต่ไม่มีของ ดีกว่ามีของแต่ไม่มีคนซื้อ’ หลังจากนั้นผมเห็นคนขายของออนไลน์เยอะ ทั้งขายเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ขายกล้วยฉาบ มันฉาบ ก็เลยซื้อมาขายบ้าง แต่ปรากฏไม่มีใครซื้อเลย แล้วเราก็มาคิดได้ว่า เราจะขายกล้วยฉาบ มันฉาบไปทําไมในเมื่อเราอ่านหนังสือทุกวันเลยและรู้ดีที่สุดเรื่องหนังสือ ก็เลยเริ่มหันมาขายหนังสือในเพจสมองไหล
วิธีขายหนังสือในเพจของคุณมีความแตกต่างจากร้านหนังสือทั่วไปยังไง
ช่วงโควิด-19 ห้างปิด เราเลยถือโอกาสตรงนี้ทำคอนเทนต์แนะนำและให้คำปรึกษาการเลือกหนังสือที่ตรงกับปัญหาของลูกค้า ผมเป็นคนอ่านหนังสือที่รู้ว่าคำตอบของปัญหาต่างๆ มันอยู่ในหน้าไหน เล่มไหน ก็เลยเขียนบทความแล้วทิ้งท้ายว่าถ้าอยากเปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น แนะนำให้อ่านหนังสือดีๆ สักเล่ม ถ้าร้านหนังสือจับกลุ่มเป้าหมายที่รู้อยู่แล้วว่าจะซื้ออะไร เราก็ไปจับกลุ่มคนที่ไม่รู้ว่าจะซื้อเล่มไหนดี เราเป็นเหมือนหมอที่จ่ายยาเป็นหนังสือแล้ววินิจฉัยโรคจากอาการป่วย วันแรกเราขายได้ 4 เล่ม เดือนแรกขายได้หลักร้อยเล่ม จนมีนักเขียนของหนังสือที่เราขายทักมา พอขายดีเราก็ได้ส่วนลดการซื้อหนังสือจากนักเขียนและสำนักพิมพ์ แล้วก็ขายได้เยอะขึ้นเรื่อยๆ เดือนหนึ่งขายป็นพันเล่มจนคนบอกต่อกัน วันหนึ่งหลังจากขายมาราว 4 เดือนจนมีเงินเก็บหลักแสนก็มีสำนักพิมพ์ ‘อะไรเอ่ย’ มาชวนเขียนหนังสือ ช่วงนั้นทำงานประจำไปด้วย เขียนหนังสือ ทำเพจไปด้วยก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ลาออกไปทำธุรกิจเองแบบเต็มตัว
เห็นว่าเพจคุณเติบโตจากคอนเทนต์ออร์แกนิก ทำไมถึงไม่เน้นทุ่มโฆษณา
เหตุผลที่ถนัดทำคอนเทนต์ออร์แกนิกก็เพราะเรายิงแอด (ยิงโฆษณา) ไม่เป็น เราเคยลองยิงแอดแล้วมันไม่เวิร์ก สังเกตว่าพอทำไปแล้ว ครั้งต่อไปคอนเทนต์ไม่เปิด บทความต่อไปมักไม่ค่อยขึ้น เลยคิดว่าทำคอนเทนต์ให้คนได้คุณค่าจริงแล้วไวรัลเองดีกว่า แต่อาจเพราะเราไม่ได้เป็นคนยิงแอดเก่งด้วย แล้วพอทำคอนเทนต์ออร์แกนิกที่มีคนแชร์ไปเรื่อยๆ ก็เริ่มมีคนถามว่า อยากรู้ว่าทำยังไง สอนให้หน่อยได้ไหม เราจึงทำคลิป ไลฟ์สอนฟรีประมาณ 4-5 เดือน เพื่อทดลองสอนและดูว่าคนสนใจไหม เพราะเราก็ไม่ได้เก่งเรื่องออกกล้องหรือพูดเก่งอะไรนัก แต่ปรากฏว่าคนสนใจเยอะ หลายคนบอกว่าทำคลาสสอนเถอะ เพราะจะได้เรียงเนื้อหาอย่างเป็นระบบ ไม่กระจัดกระจาย ก็เลยเริ่มออกแบบหลักสูตร แล้วลองขายตอนทำหลักสูตรเสร็จแค่ครึ่งเดียว ด้วยการไลฟ์และเขียนบทความขายคอร์ส ปรากฏยอดขายขึ้นไป 1 ล้านภายใน 6 วัน จากเพจรีวิวหนังสือ ก็เลยปรับตัวมาเริ่มสอนคอนเทนต์และทำคอร์สตั้งแต่ตอนนั้น
ทุกวันนี้ฟีดคอนเทนต์เยอะขึ้นและอัลกอริทึมก็ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา คุณมองว่าการทำคอนเทนต์ออร์แกนิกยังเวิร์กอยู่ไหม ต้องปรับตัวยังไง
เคล็ดลับคือคุณต้องเอาชนะใจคนไม่ใช่เอาชนะระบบ คือถ้าเรารู้ว่าลูกค้าต้องการอะไรแล้วทําคอนเทนต์ที่ชนะใจคนได้จริง จะไม่มีปัญหาเรื่องอัลกอริทึม แม้คอนเทนต์จะเยอะขึ้น แต่หน้าที่ของอัลกอริทึมมีอย่างเดียวคือ เอาสิ่งที่คนชอบขึ้นมาให้เห็นบ่อยๆ และเอาสิ่งที่คนไม่ชอบออกจากฟีดไป ถ้าลองคิดว่าเราเป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม เราจะสั่งโปรแกรมเมอร์ว่าอะไร ต้องทำยังไงก็ได้ให้ผู้ใช้ติดใช่ไหม แล้วคำถามคือคนจะติดอะไร เราก็แค่ต้องรู้ว่าลูกค้าของเราชอบเสพอะไร
สิ่งสำคัญที่สุดในการตั้ง KPI สำหรับการทำคอนเทนต์ของผมคือยอดแชร์ เราไม่สนใจเลยว่าจะได้ยอด view เท่าไหร่ เราสนใจว่าทํายังไงถึงจะแชร์ได้เยอะ ดังนั้นถ้าสังเกตคอนเทนต์ของเพจเรา คนจะแชร์เยอะ เพราะเราจะมานั่งคิดเลยว่าคอนเทนต์แบบไหนที่คนอยากแชร์ เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เขาบอกว่า มันไม่สําคัญว่าคอนเทนต์คุณจะสั้นหรือยาว มันสําคัญที่ว่าคุณทําให้คนอยู่ต่อได้หรือเปล่า เหมือนซีรีส์ที่ถ้าคนสนุก ก็ดูได้ทั้งวันทั้งคืนไม่หลับไม่นอน ไม่เห็นต้องทำสั้นเลย แค่เอาชนะใจคนได้ อัลกอริทึมเปลี่ยนยังไงก็ไม่กระทบ
เวลาสอนคนอื่น คุณถ่ายทอดวิชามารในการทําคอนเทนต์ยังไงให้คนทำตามได้
อาชีพของการทําธุรกิจการสอนเนี่ย มันสําคัญที่ว่าเราตอบได้หรือเปล่าว่าทําไมนักเรียนถึงทำได้ ทําไมถึงทำไม่ได้ ซึ่งเวลาที่ผมทําคลาสออกมามันจะต้องมีเฟรมเวิร์ก เหมือนสมัยที่ผมเปิดโรงเรียนสอนเทควันโด ซึ่งตอนนั้นยิมของเราก็เป็นแค่ไม่กี่ยิมที่มีสมุดรวมท่ารํา เทควันโดจะมีท่ารําเหมือนคาราเต้ เราก็ทำเป็นสมุดรวมท่าของแต่ละสาย สายขาว สายเหลือง สาวเขียว ว่าท่าต้องทำยังไง ถ้าคนที่ทําถูก ส่วนใหญ่ก็จะได้ผลทุกคน แต่ถ้านักเรียนทําไม่ได้ เราจะตอบได้เลยว่าเขาทำไม่ได้ตรงไหน
อธิบายง่ายๆ ว่าเราต้องออกแบบประสิทธิภาพการสอนให้ไปสุดก่อน เหมือนรถแลมโบกินีที่เหยียบได้ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ถามว่าถ้าเป็นคุณจะเหยียบคันเร่งถึง 300 หรือเปล่า ก็อาจจะไม่ บางคนอาจเหยียบแค่ 40 หรือ 100 นั่นแปลว่าเราต้องออกแบบคอร์สไปให้สุดก่อน แล้วค่อยให้นักเรียนเลือกว่าตัวเขาเองอยากไปสุดที่ตรงไหน
ประสบการณ์เปิดโรงเรียนเทควันโดช่วยหล่อหลอมวิธีคิดของคุณในบทบาทผู้สอนยังไง
โชคดีที่เราเปิดโรงเรียนสอนเทควันโดมาก่อน เวลาสอนเทควันโด ผมจะไม่ได้สอนแค่เตะต่อยทั่วไป ผมจะสอนถึงขนาดที่รู้ว่า สมมติว่าจะต่อยเนี่ย ต้องหมุนกี่องศา หมัดนี้ต้องใช้เทคนิคยังไง ต้องหายใจแบบไหน ถ่ายเทน้ำหนักยังไง ยืนประมาณไหน ผมสอนละเอียดมาก มันเลยทําให้เราเก่งในการแปลงความสามารถทุกอย่างของเราออกมาเป็นแพตเทิร์นได้โคตรละเอียด แล้วก็ทําให้คนทั่วไปเดินตามได้
ผมไม่เคยเชื่อเรื่องการสอนตามประสบการณ์ คนส่วนใหญ่อาจโฆษณาว่าสอนตามประสบการณ์ แต่ความจริงแล้วประสบการณ์ของคนเราไม่เหมือนกัน เวลาเราทําแต่ละธุรกิจด้วยตัวเอง เราจะรู้เรื่องในสิ่งที่เราทํา แต่เวลาเราสอน เราต้องรู้กว้างด้วย เพื่อให้มันเป็นแพตเทิร์นที่ถ่ายทอดออกมาเป็นหลักสูตรกลางที่ทุกคนเรียนแล้วเอาไปใช้ได้
เหมือนกับเวลาสอนเทควันโด นักเรียนทุกคนจะมีสมรรถภาพไม่เหมือนกัน ถ้าบางคนอ้วน เราจะไม่ให้เขาเตะสูง เขาจะเล่นแบบคนผอมไม่ได้ บางคนเตี้ย ถ้ายืนห่างๆ อาจโดนเตะหัว ต้องฝึกเตะใกล้ๆ แต่บางคนสูงไป ถ้ายืนใกล้เกินไปจะเตะไม่ได้ ผมก็จะรู้ว่าแต่ละคนไม่เหมือนกัน วิธีคิดที่เชื่อว่าต้องออกแบบการสอนให้เข้ากับทุกคนได้เป็นทักษะที่ติดตัวมาในการออกแบบหลักสูตรในทุกวันนี้
จากสอนด้วยตัวเอง อะไรทำให้ ‘สมองไหล’ เปลี่ยนมาขายคอร์สโดยหลากผู้เชี่ยวชาญทางธุรกิจ
ทุกโปรดักต์ที่ผมทำ หนังสือหรือคอร์สออนไลน์ ไม่เคยเกิดจากผมนั่งคิดเอง แต่เกิดจากลูกค้าต้องการเสมอ เพราะผมขายของแบบคุยกับลูกค้าโดยตรง ตอบแชตเองในไลน์ ตอบคำถามเองในคลาสออนไลน์ เพื่อจะได้รู้ว่าเขาต้องการอะไรจริง ๆ
คลาสที่ผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ มาสอนก็ล้วนมาจากการที่ลูกเพจบอกว่าอยากได้ จะมีลูกเพจทักมาว่าอยากทำ TikTok อยากขายทางช่องทางต่างๆ แต่หลายอย่างผมเองก็ไม่ถนัด พอดีคุณส้ม–วริษฐา กิตติกุล ที่เคยทำ Shopee แล้วประสบความสำเร็จจนมียอดขายร้อยล้านมาปรึกษาด้านการทำคอร์ส เขาเคยทำคอร์สมาก่อนแต่ฟีดแบ็กไม่ค่อยดี จนมีคนแนะนำให้มาคุยกับผม เราเลยเริ่มทำคอร์สร่วมกัน ผมช่วยออกแบบคอร์ส และลองไลฟ์ครั้งแรกด้วยกัน โดยที่ตอนนั้นคุณส้มยังไม่ได้ทำ personal brand ไม่มีเพจ ไม่มีใครรู้จัก ปรากฏไลฟ์สอนครั้งแรกขายคอร์สได้ 1 ล้าน พอไลฟ์ขายคอร์สต่อมาก็ขายได้มากขึ้นเรื่อยๆ
เราเลยมาแกะแพตเทิร์นว่าทําไมขายคอร์สของคนอื่นแล้วขายดีกว่าเราทำเองอีก แล้วก็เข้าใจว่าเหตุผลที่ขายได้เพราะลูกค้าเชื่อเรา เวลาเราขายคอร์สคนอื่น ผมวางตัวเองเป็นเหมือนหนุ่ม กรรชัย เป็นคนกลางแล้วถามแทนลูกค้า เรายืนข้างลูกค้า ซักถามจนทุกข้อสงสัยถูกคลายหมด และคนสอนได้คลายทุกข้อครหา เช่น เราถามคุณส้มว่า คุณโม้หรือเปล่าที่บอกว่าไลฟ์ขายใน Shopee ได้ร้อยล้าน เพราะผมเข้าไปดูไลฟ์ มีคนดูแค่ 3 คน คุณมาหลอกหรือเปล่า เขาก็บอกว่าใน Shopee ไม่เหมือนเฟซบุ๊กที่คนอยู่ดูนานๆ Shopee เหมือนเซเว่นที่คนซื้อแล้วก็ออกเลย ความสงสัยในจุดนี้ของคนดูก็หายไป
แต่ถ้าผมพูดถึงคอร์สของตัวเอง มันก็จะเป็นคนละแบบ พอเราสอนเอง กลายเป็นว่าเรานั่งคนละฝั่งกับลูกค้า แล้วต้องทำให้คนเชื่อเรา แต่พอขายคอร์สคนอื่น ผมไปนั่งฟังเขาสอนแล้วซักถาม ซึ่งถ้าเป็นคนจริงก็จะคลายทุกข้อสงสัยได้ พอคลายประเด็นทุกอย่างหมด แล้วคนเชื่อว่าคนสอนเป็นของจริง ก็ทำให้ขายดี กลายเป็นว่า ผมขายคอร์สของคนอื่นได้ดีกว่าของตัวเองด้วยซ้ำ
แปลว่าคุณไม่ได้มองว่าเพจสมองไหลผูกกับ personal branding ของคุณใช่ไหม
ต้องเล่าว่าธุรกิจการสอนจะมี tier ของผู้สอนหลายแบบ มีทั้งคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ (expert) คนสาย personal brand ที่มีภาพจำ เวลาพูดถึงหัวข้อไหน จะนึกถึงคนที่มีชื่อเสียงในวงการนั้นได้ทันที แล้วก็สายอินฟลูเอนเซอร์ ผมมองตัวเองว่าเป็นอินฟลูเอนเซอร์ เพราะผมมีความสามารถในการเปลี่ยนกลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย เช่น ถ้าผมพูดถึง Shopee หรือ TikTok ผมก็สามารถเชื่อมโยงและดึงดูดคนกลุ่มนั้นมาซื้อคอร์สได้ ต่างจากผู้สอนแบบ expert ที่เน้นความเชี่ยวชาญและทักษะเฉพาะทาง บางคนอาจเป็นลูกจ้างหรือที่ปรึกษาที่ถนัดให้คำแนะนำแบบหนึ่งต่อหนึ่ง แต่ไม่ได้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง อินฟลูเอนเซอร์อย่างผมสามารถดึงคนสาย expert หรือ personal brand ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างได้ผ่านการเชื่อมโยงกับกลุ่มคนต่างๆ
อีกอย่างคือพอเราขายคอร์สในเพจทำให้มีฐานลูกค้าที่ดีมากอยู่ที่ 4,000-5,000 คน ผมก็เริ่มรู้สึกว่า valuation (มูลค่า) ของบริษัทในทุกวันนี้มันไม่มีเลย ถ้าคนจะมาซื้อบริษัทสมองไหล มันติดกับตัวเรา มันคือหน้าเรา แต่พอเริ่มเข้าใจว่าคนไม่ได้อยากเรียนเพราะตัวเราเท่านั้น แต่เรียนเพราะอยากได้ผลลัพธ์ เลยคิดว่าถ้า
เราสามารถทรานส์ฟอร์มความเชื่อใจในตัวเราไปสู่บริษัทได้ เราก็ต้องทำ ซึ่งพอมีผู้เชี่ยวชาญหลากหลายเข้ามาสอน ก็เริ่มคิดว่าเราจะตอบโจทย์ลูกค้าได้ยังไงในเมื่อเราไม่ได้รู้จักลูกค้ามากขนาดนั้น ก็เลยไปคุยกับพี่โมชิว่าอยากทำแอพฯ การศึกษาที่รวมหลายคอร์สไว้ด้วยกัน เพราะผมไม่รู้เรื่องโปรแกรมเมอร์เลย แต่พี่โมชิมีทีมโปรแกรมเมอร์มาตลอดสิบปี ก็เลยทำร่วมกัน เกิดเป็นแอพฯ SHORTCUT
การทำแพลตฟอร์มของตัวเองมีข้อได้เปรียบที่ดีกว่าการทำคอร์สสอนในโซเชียลมีเดียยังไง
จากที่เรามีฐานลูกค้าอยู่แล้ว พอเราทำแพลตฟอร์มขึ้นมา เราสามารถรู้ได้เลยว่าใครเรียนถึงตรงไหน ใครทำอาชีพอะไร ถ้าเรียนแล้วยังไม่ได้ผล เราสามารถบอกได้เลยว่า ตอนนี้คุณเรียนถึงบทนี้แล้วนะ คำตอบของคุณอยู่ในบทถัดไป คุณควรไปเรียนบทนี้ แบบนี้เราก็จะรู้จัก pain point ของลูกค้าได้มากขึ้น
ผมมักจะเปรียบลูกค้าเหมือนเด็กนักเรียน มีทั้งอนุบาล ประถม มัธยม มหาวิทยาลัย พอเขาเรียนผ่านแต่ละขั้น เราก็ต้องมีสิ่งที่ตอบโจทย์เพื่อทำให้เขาเก่งขึ้นเรื่อย ๆ อย่างตรงจุด ผมเองเคยทำงานในบริษัทสตาร์ทอัพ ซึ่งทุกวันจะได้ยินคำเดิม ๆ ว่าให้ความสำคัญกับลูกค้า ลูกค้า ลูกค้า ได้ยินประโยคคำถามเดิมๆ ว่าต้องคิดว่าลูกค้าต้องการอะไร pain point คืออะไร เราต้องคุยกับลูกค้า อย่าทำงานแค่ในห้องแอร์ แต่ต้องออกไปเจอ ออกไปฟังจริงๆ สิ่งนี้มันฝังอยู่ในผมมาตลอด
เพราะแบบนี้ผมถึงสร้าง SHORTCUT ขึ้นมา ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็คือธุรกิจของสมองไหลนี่แหละ แค่เปลี่ยนบ้านจากเพจมาเป็นแพลตฟอร์ม การมีฐานลูกค้าอยู่แล้ว พอโยกเข้ามาในแพลตฟอร์ม บริษัทก็จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นทันที ต่างจากการอยู่แค่ในเพจสมองไหล
คุณมองทิศทางการเติบโตของ SHORTCUT เป็นยังไงในอนาคต
ผมวางเป้าไว้ชัดเจนว่า ภายใน 2 ปี ต้องทำให้ถึง 100 ล้าน และใน 5 ปี ต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์ให้ได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วสิ่งที่เราทำไม่ใช่แค่คอร์ส แต่คือการสร้างระบบหลังบ้าน การแจก e-Book ต่างๆ เฟสต่อไปเรายังวางแผนทำระบบ affiliate ซึ่งตอนนี้โปรแกรมเมอร์กำลังพัฒนาแอพฯ อยู่แล้ว
สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อคือการมีคอร์สเยอะในแอพฯ ไม่ได้แปลว่าดี ผมจะไม่ทำระบบบุฟเฟต์ 300-400 คอร์สแน่นอน เราอยากให้เรียนแล้วได้ผลลัพธ์ชัดเจน พอได้ผลลัพธ์แล้วค่อยต่อคอร์สต่อไป ในอนาคต เรามองไกลไปถึงการเอาแพลตฟอร์มนี้ไปเชื่อมต่อกับมหาวิทยาลัย เพราะเดี๋ยวนี้การเรียนค่อนข้างเปลี่ยนมาเรียนออนไลน์เยอะ เราลองไปคุยกับมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนคือมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานีมาแล้ว ก็คิดว่าสามารถเอาแพลตฟอร์มนี้เข้าไปช่วยอาจารย์ได้ ถ้าอนาคตนักศึกษาใช้แพลตฟอร์มเราตลอด 4 ปีจนคุ้นเคย พอเขาเรียนจบออกมาก็น่าจะเป็นกลุ่มที่พร้อมต่อยอดไปซื้อคอร์สของเราต่อทันที
คุณอยากสร้างอิมแพกต์ผ่านธุรกิจการศึกษายังไง
ผมอยากเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษา เพราะผมรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้รับโอกาสไปเข้าค่ายสตาร์ทอัพตอนนั้น แม้ผมจะเรียนจบด้วยเกรดเพียง 2.16 แต่ตอนนี้กลับเป็นคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดคนหนึ่งในคณะ โดยไม่ใช่คนที่เรียนได้เกียรตินิยม ถ้าผมไม่ได้ไปค่ายนั้น ไม่รู้ว่าวันนี้ผมจะอยู่ตรงนี้ไหม ผมอาจยังเป็นครูสอนเทควันโด รับเงินหลักหมื่นอยู่ก็ได้
ทุกวันนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นในฐานะขององค์กรคือเราหาคนที่ตรงสเปกมาทํางานด้วยยากมาก หลายบริษัทบอกว่าขาดคน ในขณะที่คนส่งเรซูเม่สมัครงานก็เยอะ แต่ผ่านการคัดเลือกได้แค่ไม่กี่คน นั่นแสดงว่าความต้องการของตลาดกับสิ่งที่ระบบการศึกษาป้อนมามันไม่ตรงกัน ระบบการศึกษาใช้เวลาเรียนถึง 4 ปี แต่เนื้อหากลับไม่ทันโลกที่เปลี่ยนแปลงเร็ว
แพลตฟอร์มของผมต้องการย่นระยะเวลาการสร้างทักษะจาก 4 ปี เหลือแค่ 4 เดือน เพื่อให้คนมีความเชี่ยวชาญที่สร้างคุณค่าและรายได้ พร้อมตอบโจทย์เศรษฐกิจยุคใหม่ ซึ่งการสร้างอาชีพจะช่วยให้ประเทศและระบบเศรษฐกิจของเราพัฒนาขึ้น ทุกวันนี้นายจ้างไม่ได้ดูเกรดมากเท่าความสามารถ แต่ถ้าคุณไม่มีประสบการณ์หรือทักษะที่ชัดเจน เกรดก็จะกลายเป็นตัวชี้วัด ในทางกลับกันถ้าคุณเรียนและทำงาน สะสมประสบการณ์ไปด้วยก็จะมีผลงาน และถ้ามีความสามารถจริง ก็จะทำให้เรียกเงินเดือนได้โดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะกดเงินเดือน บริษัทจะถามว่าคุณอยากได้เงินเดือนเท่าไหร่ ไม่ใช่บริษัทให้ได้เท่าไหร่
ผมต้องการเปลี่ยนอํานาจของคนในตลาดแรงงาน เราจะไม่เป็นคนตอบคําถามว่าทําไมบริษัทถึงต้องเลือกเรา แต่เราจะเป็นคนบอกเองว่าทําไมเราถึงต้องทําหน้าที่นี้ เพราะไม่มีใครทำแบบเราได้ ทุกวันนี้ถ้ามีมหาลัยไหนให้ผมกลับไปเป็นวิทยากร ผมไม่เคยถามเรื่องค่าตัวสักนิด เพราะถ้าสมัยผมอยู่มหาวิทยาลัยแล้วมีคนมาบอกแบบนี้ ผมคงสำเร็จเร็วกว่านี้ มองว่าถ้าทุกคนมีทักษะ มูลค่าของคนทำงานจะไม่ได้ถูกกําหนดด้วยใบปริญญา แต่จะถูกกําหนดด้วยผลงานของตัวเขาเอง
ถ้าวันนี้ทุกช่องทางในโซเชียลของเพจสมองไหลปลิวทั้งหมด คุณจะเริ่มธุรกิจใหม่ยังไง
ผมว่ามันไม่ยากเลยครับ เพราะตลอดมาผมเก็บ private traffic เอาไว้เสมอ ผมเชื่อว่า การมีผู้ติดตามหลักล้านไม่ได้มีประโยชน์อะไรเท่ากับการมีแฟนพันธุ์แท้ 1,000 คนที่พร้อมจ่าย สมมติแฟนพันธุ์แท้จ่ายคนละหนึ่งแสน แค่นี้ธุรกิจก็แตะร้อยล้านแล้ว อย่างที่เล่าว่าตัวผมเองเก็บฐานลูกค้าไว้ประมาณ 4,000-5,000 คน และด้วยความที่เรามี personal brand อยู่แล้ว วันหนึ่งถ้าช่องทางเก่าหายไป การเปิดช่องใหม่ไม่ใช่เรื่องยากที่ลูกค้าเดิมจะตามมาหรือมีผู้ติดตามใหม่ คอนเทนต์เดิมที่เคยปัง ลงใหม่ก็น่าจะยังปังอีก
ความจริงที่เราสร้าง SHORTCUT ขึ้นก็เพื่อรองรับเหตุการณ์แบบนี้อยู่แล้ว วันหนึ่งถ้าเพจหายไปจริงๆ มันก็จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพียงแต่ถ้าเกิดขึ้นตอนนี้ก็คงกระทบอยู่เหมือนกัน ทุกวันนี้ก็โชคดีที่เราเก็บฐานลูกค้าที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ไว้อย่างดี ต่อให้เรายังไม่ปล่อยสินค้าใหม่ แค่บอกว่าจะทำอะไร ลูกค้าเก่าก็เตรียมตัวพร้อมซื้อทันที สมมติวันนี้เราแค่ยิง notification หาลูกค้าเก่า เราก็สามารถทำยอดได้ทันทีหลักล้าน เพราะลูกค้าเชื่อใจเรา
ถ้าคุณต้องสรุป Cheat Sheet แห่งความสำเร็จในการทำธุรกิจให้โตก้าวกระโดดสิ่งนั้นคืออะไร
ผมใช้คำว่า ‘ถ้าทุนน้อย ก็ต้องใช้สมองให้มาก’ ซึ่งคำว่า SaMoungLai (สมองไหล)
มีตัวอักษรย่อเป็น S M L ซึ่งไม่ได้หมายถึงไซส์เสื้อ
S ย่อมาจาก Selling คือการเริ่มต้นธุรกิจ เราไม่ต้องเริ่มจากการทำโปรดักต์หรืออะไรเลย แต่ต้องเริ่มจากการขายก่อน No Selling, No Business ธุรกิจคือการหาเงิน ไม่ใช่การจ่าย บางคนเริ่มทำธุรกิจปุ๊บก็คิดถึงการจ่ายเงินก่อน แต่ความจริงการทำธุรกิจต้องเริ่มจากขาย อย่างผมเริ่มจากทำเพจ ขายคอนเทนต์ ขายไอเดีย ขายความคิด ขายสินค้า ขายบริการ เมื่อขายเสร็จ เราจะได้ฐานลูกค้า ได้คุยกับลูกค้า เข้าใจความต้องการของเขา เหมือนที่ผมขายหนังสือแล้วต้องคุยกับลูกค้าตั้ง 30 นาที เพื่อขายได้หนึ่งเล่ม นั่นคือ S
ต่อมา M คือ Marketing การตลาดไม่ใช่การโฆษณา ไม่ใช่การทำคอนเทนต์ ไม่ใช่การหลอกล่อให้ลูกค้าซื้อ แต่คือการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์เพื่อรู้ว่าเขาต้องการอะไร แล้วเอาสินค้ามาตอบโจทย์ เมื่อเรามีฐานลูกค้าแล้ว เราจะรู้ว่าลูกค้ากลุ่มนี้ชอบอะไร ต้องการอะไร ติดตามเพจอะไรบ้าง ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้เราสร้างสินค้าที่ตรง pain point ของลูกค้า ทำให้โอกาสเจ๊งแทบเป็นศูนย์ ซึ่งวิธีการทำการตลาดหลักๆ จะมี 3 อย่าง ถ้าอยากโตเร็วที่สุดต้องทำ personal brand เพราะคนเชื่อคน การเปิดหน้าเราให้ลูกค้าเห็นหน้าจะช่วยสร้างความเชื่อใจ แต่ก่อนผมก็ไม่เปิดหน้า พอเปิดหน้าแล้ว ยอดขายเพิ่มขึ้น 10-20 เท่า พอเกิดการซื้อ เราก็ต้องบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) ต้องคุย ให้คำปรึกษา ตอบคำถามเองบ้าง อยู่กับเขาทุกช่วงเวลาเพื่อเข้าใจว่าเขาต้องการอะไร ทุกคนที่โตได้ไวเพราะอินกับลูกค้าหมด อย่างสุดท้ายคือ การทำ marketing funnel ทำยังไงให้ลูกค้ารู้จักเรา พิจารณาเรา และตัดสินใจจ่ายเงินกับเรา
สุดท้าย L คือ Leverage หากคุณเป็นคนตัวเล็ก เราต้องทำหนึ่งอย่าง แล้วขายให้ได้เยอะๆ ใช้เครื่องมือหรือระบบต่างๆ เพื่อสเกลให้สินค้าหรือบริการหนึ่งชิ้นขายได้ทั่วประเทศ หรือแม้แต่ทั่วโลก เราอาจใช้ AI ใช้ระบบดิจิทัลหรือแพลตฟอร์มเพื่อให้ทำงานซ้ำๆ ได้โดยไม่ต้องทำสินค้าร้อยอย่างแล้วขายร้อยทางโดยเริ่มจากศูนย์ทุกครั้ง
การทำ SML คือ ขายก่อน → ทำการตลาด → เลเวอเรจ นี่คือคีย์ที่ผมใช้มาตลอด ถ้าอยากโตแบบก้าวกระโดด ต้องใช้วิธีการแบบนี้ครับ