Vitalik Buterin ผู้ริเริ่ม Ethereum เด็กเนิร์ดผู้หลงใหลบล็อกเชน สู่มหาเศรษฐีผู้ทรงอิทธิพลโลกคริปโต
หลายคนคงเคยได้ยินชื่อของ “Ethereum” และรู้จักกันมาบ้างแล้วว่าสิ่งนี้คือบล็อกเชน (Blockchain) อีกเครือข่ายหนึ่งนอกเหนือจาก Bitcoin และก็มีเหรียญ Ether (ETH) เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ไหลเวียนอยู่ในระบบนิเวศเครือข่ายนี้
Ethereum กลายเป็นบล็อกเชนหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และเป็นรองเพียงแค่ Bitcoin Blockchain ในแง่ของมูลค่าตลาด อีกทั้งในปี 2025 มูลค่าเหรียญ Ether ได้พุ่งแรงต่อเนื่องนับแต่ต้นปี ทำให้ตอนนี้ (ข้อมูล ณ วันที่ 22 สิงหาคม) มูลค่าทะลุ 4,300 ดอลลาร์สหรัฐไปแล้ว และมีคาดการณ์ว่าจะทำ All-Time High ใหม่ คือทะลุ 4,800 ดอลลาร์สหรัฐที่เคยทำไว้เมื่อปี 2021 อีกด้วย
ต้นกำเนิดของ Ethereum เกิดขึ้นในปี 2013 เมื่อชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า Vitalik Buterin (วิทาลิก บูเตริน) ที่ศึกษาและทำความเข้าใจ Bitcoin และ Blockchain มานาน ก่อนที่จะเปิดตัว White Paper พร้อมกับคลอด Ethereum ออกมาเป็นอีกอีโคซิสเต็มบนบล็อกเชนที่เปิดให้เหล่านักพัฒนาเข้าไปต่อยอดและสร้างแอปพลิเคชันกระจายศูนย์ (DApps) จนถูกขนานนามว่าเป็น “คอมพิวเตอร์โลก”
ในบทความนี้ Thairath Money คอลัมน์ How to Make Money จะพาไปทำความรู้จัก Vitalik Buterin อัจฉริยะที่ถูกมองว่าเป็นคนนอกของสังคม เด็กเนิร์ดใฝ่เรียนจนไปรู้จักกับระบบ Decentralized จนทำให้เราได้รู้จักกับ Ethereum และถือเป็นมหาเศรษฐีที่มีความมั่งคั่งกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และร่ำรวยมาจากคริปโตเคอร์เรนซี
อัจฉริยะที่เป็น “คนนอก”
ก่อนจะไปทำความเข้าใจว่า Ethereum คืออะไร สร้างขึ้นมาเพราะอะไร ขอพาย้อนกลับไปทำความรู้จักกับผู้ริเริ่มอย่าง Vitalik Buterin กันก่อน
ย้อนกลับไป Vitaly Dmitrievich Vitalik Buterin เกิดในปี 1994 ที่กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ก่อนที่พ่อแม่จะพาครอบครัวย้ายไปแคนาดาตอนที่เขามีอายุได้ 6 ขวบ โดยมีเป้าหมายคือไปมีชีวิตที่ดีกว่าในต่างประเทศ
ด้วยความที่เป็นอัจฉริยะตั้งแต่เด็ก ในวันประถม Vitalik เลยถูกจัดให้อยู่ห้องเด็กพิเศษที่มีความสามารถโดดเด่นทั้งด้านคณิตศาสตร์ เขียนโปรแกรม และสนใจเศรษฐศาสตร์ตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงขั้นที่สามารถบวกเลข 3 หลักแบบคิดในใจได้เร็วกว่าคนวัยเดียวกันหลายเท่า
แต่ความอัจฉริยะก็เป็นเหมือนดาบสองคม เพราะด้วยสมองที่คิดแตกต่างกับคนรอบข้าง ทำให้ถูกมองว่าเป็น “คนนอก” ของสังคม บางครั้งถูกมองว่าเป็นคนแปลกเพียงเพราะเขาเก่งกว่าคนอื่น ๆ จนกระทั่งได้เข้าเรียนระดับมัธยมที่ Abelard School โรงเรียนเอกชนในโตรอนโต แคนาดา ที่ทำให้เขาได้เปลี่ยนมุมมองความคิดหลาย ๆ อย่างไป พร้อมกับได้ค้นพบว่าตัวเองเป็นคนรักเรียน ใฝ่รู้ จนตั้งเป้าหมายไว้ ยกให้ “การเรียนรู้” เป็นสิ่งสำคัญสูงสุดในชีวิต
นอกจากเรียนแล้ว Vitalik ยังชื่นชอบการเล่นเกม โดยเฉพาะ World of Warcraft ในช่วงปี 2007-2010 จนกระทั่งค่ายเกมปรับเปลี่ยนสกิลของตัวละครโปรดที่เขาเล่น เป็นเหตุให้ความโปรดปรานลดลง จนเลิกเล่นเกมนี้ และยังเป็นการจุดประกายให้เขามองว่าโลกแบบรวมศูนย์ (Centralized) ที่ส่วนกลางเป็นคนกำหนดทุกอย่างมันแย่แค่ไหน
เริ่มรู้จัก Bitcoin
หลังจากนั้นเป็นต้นมา Vitalik ก็เริ่มหาเส้นทางใหม่ให้ชีวิต จนได้มารู้จักกับ Bitcoin ในปี 2011 แม้ในช่วงแรกจะอยากรู้เพราะความสงสัยว่า มันจะมีมูลค่าได้อย่างไร หากไม่มีสินทรัพย์ใด ๆ รองรับ และเมื่อเวลาผ่านไป ความสงสัยก็เริ่มเปลี่ยนกลายเป็นความหลงใหล และเป็นจุดเริ่มต้นของเขาในโลกคริปโตฯ
ในช่วงแรกเขาตั้งเป้าหมายไว้ว่า อยากจะเข้าร่วมทดลองสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ผ่านการเข้าซื้อ Bitcoin แต่ในช่วงนั้นเขาไม่มีทั้งคอมพิวเตอร์ที่ดีพอที่จะขุด และไม่ได้มีเงินมากพอที่จะซื้อสินทรัพย์นี้ เลยตัดสินใจเข้าทำงานในวงการ Bitcoin จนได้เริ่มเขียนบทความให้กับ Blog ต่าง ๆ และรับค่าตอบแทนเป็น 5 BTC ต่อบทความ
ในระหว่างนั้นเอง Vitalik ก็เริ่มศึกษาหาความรู้ในด้านเศรษฐกิจ-เทคโนโลยีมากขึ้น จนกระทั่งบทความที่เขาเขียนไปโดนใจของ Mihai Alisie ผู้ที่หลงใหลใน Bitcoin เช่นกัน จึงชวนกันมาก่อตั้ง Bitcoin Magazine และก็เริ่มเผยแพร่เนื้อหาในโลกคริปโตฯ มาต่อเนื่อง ซึ่ง Vitalik เองก็ต้องทุ่มเทกว่า 30 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ในงานคริปโตฯ จนท้ายที่สุดก็ตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อมาเดินหน้าสายนี้อย่างเต็มตัว
กำเนิด Ethereum
ระหว่างทำงาน Vitalik เลือกที่จะเดินทางท่องเที่ยวไปในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อพูดคุย และศึกษาเรื่องคริปโตฯ เพิ่ม จนในที่สุดเขาก็พบว่า โปรเจกต์คริปโตฯ ต่าง ๆ ยังจำกัดการใช้งานเกินไป แต่เขาเชื่อว่า บล็อกเชนที่ยั่งยืนควรรองรับการใช้งานได้หลากหลาย
หลังจากที่ได้ทดลองทำหลาย ๆ โปรเจกต์ด้วยตัวเองบนบล็อกเชนและศึกษาลึกลงไป Vitalik พบว่า สามารถ “ยกระดับ” โปรโตคอลให้รองรับ Turing-Complete Programming Language หรือภาษาที่สามารถใช้เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพื่อแก้ปัญหาได้แบบไม่จำกัด เพียงมีเวลาและทรัพยากรพอ
แต่เมื่อเสนอโปรเจกต์นี้ออกไปกลับถูกปฏิเสธมาบ่อยครั้ง จนเขาตัดสินใจเลยว่า ถ้าไม่มีใครทำ เขาจะทำเอง และนั่นก็เป็นจุดกำเนิดของ Ethereum ซึ่งในปี 2013 เขาได้เขียน White Paper ขึ้นมาและส่งให้เพื่อน ๆ อ่าน ก่อนที่จะนำไปเผยแพร่ต่อ จนท้ายที่สุดมีคนสนใจกว่า 30 คน และติดต่อกลับมาเพื่อหารือ และฟอร์มทีม Ethereum ขึ้น
ในเดือนมกราคม 2014 โครงการ Ethereum ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการ นำโดย Vitalik Buterin และมีทีมผู้ร่วมก่อตั้ง อย่างเช่น Mihai Alisie, Anthony Di Iorio, Charles Hoskinson, Joe Lubin และ Gavin Wood และโดยทาง Vitalik ได้ขึ้นเวทีนำเสนอโปรเจกต์นี้ในงานประชุม Bitcoin ที่ไมอามีเป็นครั้งแรก
หลังจากนั้นไม่นาน ทีม Ethereum ก็ได้ประกาศระดมทุนผ่าน Initial Coin Offering (ICO) ขายเหรียญ ETH จนสามารถระดมเงินทุนมาได้กว่า 31,000 BTC (หรือราว 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐในขณะนั้น) และ Vitalik ยังได้รับเงินสนับสนุนจาก Thiel Fellowship มาอีก 100,000 ดอลลาร์สหรัฐอีกด้วย
พร้อมกันนั้น ก็ได้มีการจัดตั้ง Ethereum Foundation องค์กรไม่แสวงผลกำไรขึ้นมาในสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อดูแลการพัฒนาซอฟต์แวร์แบบโอเพ่นซอร์สบน Ethereum Blockchain และแม้ว่าจะต้องเจออุปสรรคบ้าง แต่การระดมทุนครั้งนั้นถือว่าประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง และทำให้ Ethereum เติบโตจนกลายเป็นบล็อกเชนอันดับต้น ๆ ของโลกในปัจจุบัน
Ethereum ถูกออกแบบมาด้วยหลักการสำคัญ ๆ เพื่อเป็นแพลตฟอร์มกลางของโลกการเงินและเทคโนโลยีอนาคต ได้แก่
- Simplicity: โปรโตคอลออกแบบมาให้เรียบง่าย
- Universality: ใช้ได้หลากหลาย โดยเปิดให้นักพัฒนาสามารถสร้าง Smart Contracts ได้เอง
- Modularity: มีโครงสร้างแบบแยกส่วน และยังถูกพัฒนาโดยคำนึงถึงระบบนิเวศคริปโตฯ ทั้งหมด
- Agility: ปรับตัวได้รวดเร็ว โปรโตคอลไม่ได้ถูกกำหนดตายตัว พร้อมเปิดรับการพัฒนาใหม่ ๆ
- Non-discrimination: ไม่แบ่งแยกการใช้งาน เปิดกว้างให้ทุกคนสามารถใช้งานได้อย่างเสรี
- Non-censorship: ไม่ถูกควบคุมหรือปิดกั้น ไม่จำกัดหรือบล็อกการใช้งานบางประเภทอย่างตั้งใจ
ช่วงวิกฤติ Ethereum
นอกจากการสร้าง DApps แล้ว Ethereum ยังเปิดให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่าและบริหารองค์กรอัตโนมัติแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Autonomous Organization หรือ DAO) ได้ ซึ่ง DAO แรก ๆ สามารถระดมทุนได้กว่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐในรูปแบบ ETH จากสมาชิกมากกว่า 11,000 คน
แต่แล้วก็ได้เกิดเหตุการณ์สะเทือนวงการขึ้น ในปี 2016 เมื่อ DAO ถูกแฮ็ก เพราะมีช่องโหว่ในโค้ด ทำให้ ETH ถูกขโมยไป ซึ่งมีมูลค่ารวมกว่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตอนนั้นทาง Vitalik ให้ความสำคัญกับการ Soft Fork เพิ่มโค้ด อุดช่องโหว่ เพื่อทำแบล็กลิสต์แฮ็กเกอร์ และป้องกันไม่ให้ถอนเงินได้
แต่ผู้โจมตี (หรือผู้ที่อ้างว่าเป็นแฮ็กเกอร์) กลับเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงชุมชน Ethereum โดยอ้างว่าเงินที่ได้มานั้นเป็นไปตามกติกาของ Smart Contract และเตือนว่าหากมีใครพยายามยึดเหรียญคืน อาจมีผลทางกฎหมายตามมา จนท้ายที่สุดแล้ว Ethereum ต้องใช้ Hard Fork เพื่อคืนเงินให้ผู้ลงทุน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วย จึงทำให้เครือข่ายแยกออกเป็นสองสาย ได้แก่ Ethereum (ETH) บล็อกเชนใหม่ และมี Ethereum Classic (ETC) เป็นบล็อกเชนดั้งเดิม
เหตุการณ์นี้กลายเป็นประเด็นร้อนแรง เพราะทุกคนเชื่อว่าบล็อกเชนควรถูกออกแบบมาให้แก้ไขไม่ได้และต้านทานการเซ็นเซอร์ แต่การ Hard Fork ครั้งนั้นกลับทำให้เกิดคำถามด้านศีลธรรม ความโปร่งใส และความแข็งแกร่งของผู้นำโครงการ Ethereum
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีเสียงวิจารณ์ แต่ Ethereum (ETH) กลายเป็นเครือข่ายที่ได้รับความนิยมมากกว่า Ethereum Classic โดยมีการสนับสนุนจาก Enterprise Ethereum Alliance ซึ่งมีสมาชิกกว่า 200 ราย รวมถึงสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่อย่าง JPMorgan และ Citigroup
จุดต่างสำคัญอีกอย่างคือ Ethereum เดินหน้าจากกลไก Proof-of-Work (PoW) ที่เมื่อมีผู้ใช้งานมากขึ้น ทำให้ค่าธรรมเนียมธุรกรรมพุ่งสูงจนผู้ใช้ทั่วไปแทบไม่สามารถทำธุรกรรมได้ ไปสู่ Proof-of-Stake (PoS) ทำให้เครือข่ายเร็วขึ้น ใช้พลังงานน้อยลง และรองรับธุรกรรมได้มากขึ้น แต่แผนการพัฒนา Ethereum กลับใช้เวลานานกว่าที่คาดไว้ โดยการเปลี่ยนมาใช้ PoS ใช้เวลาถึง 6 ปี แทนที่จะเป็นเพียง 1 ปีตามแผนแรก
การย้ายไปใช้ PoS ทำให้วิธีบริหารโครงการมีความเป็นศูนย์กลางมากขึ้น เมื่อเทียบกับยุคแรกที่นักพัฒนาและนักขุดมีบทบาทร่วมกัน อีกทั้งผู้ถือเหรียญ ETH ในปัจจุบันก็เปลี่ยนมุมมอง โดยมองว่า Ether เป็นสินทรัพย์ลงทุนมากกว่าจะเป็นเงินดิจิทัลแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Form of Money)
มหาเศรษฐี On-Chain
ข้อมูล ณ เดือนสิงหาคม 2025 พบว่า Vitalik Buterin มีความมั่งคั่งสุทธิที่ราว 1,040 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จุดที่ทำให้เขาแตกต่างจากมหาเศรษฐีคนอื่น ๆ คือ ทรัพย์สินส่วนใหญ่ของเขาถูกเก็บอยู่ในกระเป๋าเงินคริปโตฯ (Crypto Wallet) ที่สามารถตรวจสอบได้แบบสาธารณะบนบล็อกเชน เป็นรูปแบบใหม่ของความโปร่งใสทางการเงิน
สินทรัพย์หลักของ Vitalik คือ Ether (ETH) บนเครือข่าย Ethereum โดยกระเป๋าเงินสาธารณะหลัก 0x220866b1a2219f40e72f5c628b65d54268ca3a9d มีการถือครอง ETH อยู่มากกว่า 240,000 เหรียญ คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้เขายังมีลงเงินหลายล้านดอลลาร์สหรัฐในโปรโตคอล DeFi อื่น ๆ อย่างเช่น Aave พร้อมกับรวมถึงถือโทเคนอื่น ๆ ในสัดส่วนที่น้อยลงมา
ในช่วงที่ผ่านมาการถือครองสินทรัพย์ดิจิทัลของ Vitalik มีมูลค่าน้อยลงมาก ข้อมูล On-Chain พบว่าเขาเคยถือ ETH มากกว่า 700,000 ETH และที่จำนวนน้อยลงนั้นเป็นเพราะได้นำเงินไปลงทุนในสตาร์ทอัพต่าง ๆ ขายเพื่อนำไปใช้พัฒนาอีโคซิสเต็ม และที่สำคัญที่สุดคือ การบริจาคเพื่อการกุศล
Vitalik ย้ำว่าไม่ได้ขาย ETH เพื่อประโยชน์ทางการเงินส่วนตัวมาตั้งแต่ปี 2018 แล้ว และหากเขายังคงถือ ETH ทั้งหมดไว้เหมือนเดิม ความมั่งคั่งบนบล็อกเชนของเขาอาจมีมูลค่าเกิน 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้วในวันนี้
ที่มา: CoinTelegraph [1][2], Bilira, DataWallet, Binance, CoinMarketCap
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : Vitalik Buterin ผู้ริเริ่ม Ethereum เด็กเนิร์ดผู้หลงใหลบล็อกเชน สู่มหาเศรษฐีผู้ทรงอิทธิพลโลกคริปโต
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- “ทักษิณ” ผุด สเตเบิลคอยน์-ดิจิทัลเอ็มบาสซี่กลางกรุง บอกค่าไฟต้องเหลือ 2.50 บาท
- ก.ล.ต. ขยายบัญชีรายชื่อคริปโตฯ เพิ่ม USDT และ USDC ใช้ทำธุรกรรม - ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้
- เส้นทางรักคริปโตฯ ของทรัมป์ รวม 5 เหรียญ ตั้ง "กองทุนสำรองแห่งชาติ" จะให้อเมริกาเป็นศูนย์กลางโลก
- Standard Chartered ปรับเป้า Ethereum สิ้นปีลุ้นแตะ 7,500 ดอลลาร์ รับแรงหนุน Stablecoin โต
- เงินล้นโลก ทำไม Ethereum จะเป็นโอกาสทอง? ถึงเวลาจับตาดาวดวงใหม่วงการคริปโตฯ
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath