‘โฆษณาดิจิทัล’ ถึงจุดเปลี่ยน เตือน ‘กลยุทธ์ปักตะกร้า’ ใกล้จุดอิ่มตัว
สมาคมโฆษณาดิจิทัล คาดเม็ดเงินโฆษณาดิจิทัลปี’68 โต 5% 33,105 ล้านบาท ชี้กลยุทธ์ติดตะกร้าที่เสี่ยงถึงจุดอิ่มตัว แนะธุรกิจ-นักการตลาด เสริมแบรนดิ้งขยายฐานลูกค้า ชิงท็อปออฟไมนด์ในวันตลาดฟื้น พร้อมเตรียมรับมือสงคราม First Party Data หลังแบรนด์แห่สะสมข้อมูลอินไซต์ลูกค้าต่อยอดธุรกิจ
นายภารุจ ดาวราย นายกสมาคมโฆษณาดิจิทัล (DAAT) กล่าวในงาน DAAT Day 2025 ว่า มูลค่าเม็ดเงินโฆษณาดิจิทัลในประเทศไทย ในปี 2568 มูลค่ารวมสูงถึง 33,105 ล้านบาท เติบโตขึ้น 5% จากปีที่ผ่านมา โดยเป็นข้อมูลจากความร่วมมือระหว่าง DAAT, คันทาร์ (ประเทศไทย) และ 33 เอเยนซี่สมาชิก ทำการสำรวจเม็ดเงินโฆษณาใน 70 ประเภทอุตสาหกรรมและ 18 ประเภทสื่อดิจิทัล
โดยกลุ่มธุรกิจที่ลงทุนบนสื่อดิจิทัลสูงสุด 5 อันดับแรกในปี 2568 นี้ ประกอบด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์ ครองแชมป์ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ด้วยเม็ดเงิน 5,249 ล้านบาท หรือคิดเป็น 16% ของตลาด และเติบโตถึง 4% รองลงมาเป็นกลุ่มเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอลล์ ใช้งบฯ 3,062 ล้านบาท หรือ 9% ของตลาด และเติบโต 22% ขณะที่กลุ่มยานยนต์ใช้งบฯ 2,515 ล้านบาท ลดลง 17% ตามด้วยกลุ่มโทรคมนาคม ใช้งบฯ 2,381 ล้านบาท โต 17% สุดท้ายคือ กลุ่มผลิตภัณฑ์จากนม ที่ใช้งบฯ 2,227 ล้านบาท และเติบโต 11%
ทั้งนี้ การเติบโตของสกินแคร์มาจากการทุ่มทำตลาดของเคาน์เตอร์แบรนด์และแบรนด์ไทยที่โหมสร้างการรับรู้ และโปรโมตสินค้านวัตกรรม รวมถึงผู้บริโภคมีไลฟ์สไตล์ออกจากบ้านมากขึ้น และผลิตภัณฑ์นมเติบโตจาก
ส่วนการลดลงของการใช้งบฯในธุรกิจรถยนต์ คาดว่ามาจากความเข้มงวดในการให้สินเชื่อของสถาบันการเงิน ส่งผลให้การจำหน่ายรถยนต์ซึ่งเป็นสินค้าราคาสูงท้าทายยิ่งขึ้น ผู้ประกอบการจึงลดการโฆษณาลง
ในส่วนของช่องทางสื่อดิจิทัลที่นักการตลาดเลือกใช้นั้น 3 อันดับแรกจะเป็น Meta หรือ Facebook และ Instagram งบประมาณ 8,451 ล้านบาท ตามด้วย TikTok Ads ที่มีมูลค่าสูงถึง 6,776 ล้านบาท และเติบโตอย่างน่าจับตาถึง 63% และ YouTube Ads ที่ 4,397 ล้านบาท
การเติบโตโดดเด่นของ TikTok Ads นั้น เนื่องจากจุดเด่นของแพลตฟอร์มที่สามารถปิดการขายได้ในตัว รวมถึงสามารถปิดการขายได้รวดเร็ว เช่นเดียวกับกระแสนิยมสร้างรายได้เสริมของผู้บริโภคที่ต่างหันมาทำแอฟฟิลิเอต หรือติดตะกร้า รับคอมมิชชั่นจากการขายสินค้า จึงตอบโจทย์ของภาคธุรกิจที่ปัจจุบันหันมาโฟกัสสร้างยอดขาย มากกว่าสร้างการรับรู้ เพื่อสร้างความคุ้มค่าจากเม็ดเงินโฆษณารับมือความท้าทายจากสภาพเศรษฐกิจ
“แม้สมาคมจะปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเม็ดเงินลงจากเมื่อต้นปีที่คาดว่าจะโต 10% เป็นโต 5% เพราะผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจและการเมือง แต่การเติบโตทั้งในภาพรวม และรายธุรกิจที่ต่างใช้เม็ดเงินมากขึ้นระดับเลขสองหลักนี้ยังสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจ ขณะเดียวกันเชื่อว่าผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยยังมีกำลังซื้อเพียงแต่ขาดความเชื่อมั่น โดยเชื่อว่าหากรัฐบาลมีแคมเปญกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา จะช่วยให้เม็ดเงินเติบโตได้อีกมาก”
กลยุทธ์ติดตะกร้าจ่ออิ่มตัว
นายภารุจกล่าวต่อไปว่า แม้กลยุทธ์แอฟฟิลิเอต หรือการติดตะกร้า จะได้รับความนิยมทั้งจากแบรนด์และผู้บริโภค เพราะสามารถสร้างยอดขาย-รายได้ ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ชัดเจนและรวดเร็ว แต่การทุ่มใช้กลยุทธ์นี้เพียงอย่างเดียว มีแนวโน้มที่จะด้อยประสิทธิภาพลงในระยะยาว เนื่องจากการถึงจุดอิ่มตัว
หลังผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อ ได้ซื้อและมีสินค้านั้น ๆ ในครอบครองแล้ว ตัวอย่าง เช่น ในตลาดมือถือที่อัตราการครอบครองสูงมาก เพราะเกือบทุกคนต่างมีมือถือใช้และอาจมีมากกว่า 1 เครื่อง
สภาวะอิ่มตัวนี้ จะส่งผลให้แบรนด์ต้องทุ่มเม็ดเงินมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อจูงใจและปิดการขายแต่ละรายจนอาจเลยจุดคุ้มทุน
แนะทำแบรนดิ้งชิง Top of Mind
ด้วยเหตุนี้ แบรนด์และนักการตลาดจึงควรหันมาสร้างการรับรู้แบรนด์ควบคู่ไปกับการทำแอฟฟิลิเอตด้วย ซึ่งจะช่วยสร้างความยั่งยืนให้ธุรกิจในระยะยาว เพราะการผลักดันแบรนด์ให้เป็นท็อปออฟไมนด์ หรือแบรนด์ในดวงใจของผู้บริโภคนั้น จะช่วยขยายฐานลูกค้าออกไปยังกลุ่มใหม่ ๆ อาทิ ผู้ที่ปัจจุบันอาจยังไม่พร้อมซื้อสินค้าของแบรนด์เนื่องจากสภาพกำลังซื้อ ให้มาเป็นลูกค้าของแบรนด์เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง ขณะเดียวกันยังสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันกับผู้เล่นในธุรกิจเดียวกันอีกด้วย
เข้ายุคสงคราม First Party Data
ขณะเดียวกัน นอกจากการสร้างแบรนด์แล้ว คาดว่าหลังจากนี้การแข่งขันของแบรนด์จะก้าวไปสู่ยุคสงคราม First Party Data ซึ่งเป็นการแข่งขันเก็บข้อมูลอินไซต์ของผู้บริโภคในเชิงลึก ด้วยช่องทางของแบรนด์เอง หรือ First Party Data ที่ลงลึกมากกว่าเพียงชื่อ เบอร์โทรศัพท์ แต่ไปถึงความชอบ ความสนใจ การใช้สินค้า ฯลฯ ทั้งนี้ เพื่อนำมาต่อยอดทางธุรกิจ เช่น โมเดลสมาชิกรายเดือน หรือซับสคริปชั่น สำหรับสินค้าที่ผู้บริโภคมีแนวโน้มต้องซื้อซ้ำเป็นประจำอย่าง ผ้าอนามัย เป็นต้น
โดยปัจจัยแข่งขันจะอยู่ การจูงใจให้ผู้บริโภครู้สึกคุ้มค่าและมั่นใจที่จะให้ข้อมูลเหล่านี้กับแบรนด์ ซึ่งอาจใช้ปัจจัยความคุ้มค่าอย่าง ส่วนลดอาหาร-เครื่องดื่มต่าง ๆ ที่มีให้อย่างต่อเนื่องเป็นเครื่องจูงใจ
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ‘โฆษณาดิจิทัล’ ถึงจุดเปลี่ยน เตือน ‘กลยุทธ์ปักตะกร้า’ ใกล้จุดอิ่มตัว
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net