อินโนพาวเวอร์ โตสวนเศรษฐกิจโลก พลิกเกมหนุน SME ฝ่าวิกฤติการค้า-ภาษีทรัมป์
บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด (Innopower Company Limited) เกิดขึ้นมาจากการร่วมทุนของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) บริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) หรือ RATCH และบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ EGCO Group เพื่อช่วยผลักดันและจุดประกายนวัตกรรมพลังงานและเทคโนโลยีให้กับประเทศ ด้วยวงเงินลงทุนรวมเกือบสามพันล้านบาท
สำหรับภารกิจของ อินโนพาวเวอร์คือการเป็น “สะพานเชื่อม” ให้กับผู้ประกอบการและธุรกิจต่าง ๆ ในการเข้าถึงและปรับตัวเข้ากับนโยบาย “กรีน” และการใช้ พลังงานสะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของกติกาการค้าโลกและมาตรการภาษีสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้น อินโนพาวเวอร์จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการนำเสนอโซลูชันด้านนวัตกรรมพลังงานเพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ผู้ประกอบการ ทำให้พวกเขาสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืน
อธิป ตันติวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด (Innopower) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานบริษัทฯ เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่าในปี 2570 บริษัทฯ มีความพร้อมที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เนื่องจากคาดว่าจะมีรายได้และกำไรติดต่อกัน 3 ปีตามหลักเกณฑ์ ด้วยเงินทุนจดทะเบียนกว่า 2,960 ล้านบาท ขณะนี้เหลือเงินที่ยังไม่ได้ใช้ราว 1,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจต้องเผชิญกับความท้าทายจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน รวมถึงการปรับตัวจากภาษีใหม่ของสหรัฐ หรือ ภาษีทรัมป์ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย บริษัทฯ จึงมุ่งปรับโครงสร้างธุรกิจของภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ให้แข็งแกร่งขึ้นด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างแต้มต่อทางการแข่งขัน
“เศรษฐกิจปัจจุบันไม่ดี ประกอบกับสินค้าจากจีนที่ได้เปรียบด้านต้นทุน และเมื่อเจอภาษีทรัมป์ 19% ที่แม้จะอยู่ในระดับเดียวกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่สิ่งที่ต้องจับตามองคือสินค้าอะไรคือข้อแลกเปลี่ยน และสินค้าที่เราต้องเผชิญการแข่งขันจากจีนอีก การแข่งขันจากทั้งสองมหาอำนาจทำให้ SMEs ไทยต้องเร่งหาวิธีการเพื่อแข่งขันให้ได้”
นอกจากนี้ แม้ว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงและงบประมาณด้านความยั่งยืนของหลายบริษัทจะถูกลดทอนลง แต่บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าสนับสนุนลูกค้าเดิมและขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยตั้งเป้าใช้เงินลงทุน 300 ล้านบาทในปีนี้ เพื่อช่วยเหลือ SMEs ไทยให้สามารถแข่งขันได้ผ่านโซลูชันต่างๆ เช่น
1. การซื้อขายใบรับรองพลังงานหมุนเวียน (REC)
2. โซลูชันด้านเทคโนโลยีพลังงาน เช่น ธุรกิจให้บริการติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar EPC) โดยบริษัทฯ ได้เข้าไปช่วยผู้ประกอบการติดตั้งโซลาร์เซลล์โดยที่ผู้ประกอบการไม่ต้องลงทุนเอง ซึ่งตอบโจทย์ในช่วงที่ SMEs ประสบปัญหาด้านการเงิน
3. แพลตฟอร์ม Green House Gas ให้บริการคำนวณและเก็บข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกฟรี ปัจจุบันมี SMEs เข้าร่วมแล้วกว่า 150 ราย ซึ่งเกินเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่ 150 รายภายในสิ้นปี และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 200 รายภายในสิ้นปีนี้
4. โซลูชันด้าน Mobility เช่น ธุรกิจให้บริการยานยนต์ไฟฟ้า (EV Fleet) และธุรกิจติดตั้งเครื่องชาร์จไฟฟ้าครบวงจรที่ตอบสนองความต้องการพลังงานสะอาดและสอดคล้องกับกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ซึ่งเป็นข้อบ่งชี้เชิงบวกที่แสดงให้เห็นว่าบริษัทกำลังก้าวเดินอยู่ในทิศทางที่ถูกต้อง เพื่อรองรับโอกาสและความท้าทายในตลาดเทคโนโลยีพลังงานที่กำลังเติบโต
อธิป กล่าวว่า ภาคการท่องเที่ยวของไทยยังมีโอกาสในการปรับตัวอีก 1-2 ปีข้างหน้า โดยบริษัทฯ พร้อมสนับสนุนกลุ่มธุรกิจโรงแรมให้เปลี่ยนผ่านสู่การเป็น “โรงแรมสีเขียว” เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับพรีเมียมที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน ดังนั้น จะต้องการลบภาพจำที่ว่า “สีเขียวจะแพงเสมอ” โดยจะช่วยให้ผู้ประกอบการค่อยๆ ปรับตัวไปสู่ความยั่งยืนควบคู่ไปกับการสร้างความสามารถในการแข่งขัน
ทั้งนี้ Innopower ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยทำกำไรได้ 3.4 ล้านบาทในปีที่แล้ว และคาดว่าในปีนี้จะเติบโต 40% จากที่ไม่ทราบมาก่อนว่าจะมีมาตรการภาษีสหรัฐ ทำให้มีกำไรอยู่ที่ 9 ล้านบาทในครึ่งปีแรก และคาดว่าจะทำรายได้ถึง 400 ล้านบาท และมีกำไรทั้งปีนี้ที่ 19 ล้านบาท
สำหรับกลยุทธ์สำคัญที่จะผลักดันการเติบโตในปี 2569 ของบริษัทฯ คือ การรุกเข้าสู่ภาคการท่องเที่ยวและการจัดอีเวนต์ใหญ่ๆ เช่น การจัดกีฬาหรืองานระดับนานาชาติที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อม เพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจและสร้างการรับรู้ในวงกว้าง
ทั้งนี้ จากข้อมูลตั้งแต่ปี 2564-2567 บริษัทฯ ได้ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนเทียบเท่า 2.46 ล้านตัน ตั้งเป้าสิ้นปีนี้จะมีส่วนหนุนลดการปล่อยคาร์บอนราว 4 ล้านตัน ซึ่งเป็นบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นในการผลักดันให้ธุรกิจเติบโตไปพร้อมกับความยั่งยืน