'สหัสวัต' ชง 6 ข้อถึงรัฐบาล แก้ปัญหาแรงงานขาดแคลน ปมไทย-กัมพูชา
เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2568 นายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน (ปชน.) เสนอ 6 ข้อจัดการปัญหาขาดแคลนแรงงานเฉียบพลันผลกระทบจากสถานการณ์ไทย-กัมพูชา โดยระบุว่า ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ผมได้รับเสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการหลายรายในพื้นที่ภาคตะวันออก ตั้งแต่กลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็ก ขนาดกลาง และภาคเกษตรกรรม โดยแทบทั้งหมดพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าแรงงานกัมพูชาจำนวนมากกำลัง ทยอยลาออกและเดินทางกลับประเทศ ทำให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงานแบบไม่มีใครตั้งรับทัน จุดร่วมของทุกเสียงเล่าตรงงกันว่า“แรงงานลาออกเพราะครอบครัวโทรมาขอให้กลับ เนื่องจากกลัวว่าจะถูกยึดที่ดิน ยึดสัญชาติ หากไม่กลับประเทศในช่วงนี้”
แม้ข่าวดังกล่าวจะไม่มีมูลในทางกฎหมาย และเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ แต่ข่าวปลอมดังกล่าวกลับประสบความสำเร็จในทางพฤตินัยเนื่องเพราะแรงงานจำนวนมากกำลังกลับออกไปจริง และกำลังกลายเป็น วิกฤตระดับโครงสร้างของเศรษฐกิจ
ปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อ SME และระบบเศรษฐกิจอย่างน้อย 4 ประการ
1. ธุรกิจ SME รายย่อยจะชะงักทันที ร้านอาหาร ร้านล้างรถ ร้านขายวัสดุก่อสร้าง โรงแรมขนาดเล็ก ที่มีลูกจ้างเพียง 1-3 คน จะประสบความยากลำบากในทางธุรกิจ หรืออาจถึงขั้นเปิดทำการต่อไม่ได้ หากแรงงานลาออก ธุรกิจรายย่อยเหล่านี้ เป็นตัวหลักของการจ้างงานในภาคตะวันออก แต่เปราะบางที่สุดต่อการเปลี่ยนแปลง และจากการคาดการณ์พบว่าหากแรงงานกัมพูชาหายไปเพียง 10% จากทั้งหมด 540,000 คน หรือประมาณ 54,000 คน (ซึ่งปัจจุบันเกินแล้ว) ธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กที่พึ่งพาแรงงานเหล่านี้จะได้รับผลกระทบโดยตรงไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาทต่อเดือน จากรายได้ที่หายไปและยังไม่นับต้นทุนอื่นที่ต้องแบกไม่ว่าจะเป็นต้นทุนที่จม เงินกู้ รวมทั้งดอกเบี้ยใดๆที่จะเกิดขึ้น
2. ภาคก่อสร้างและอุตสาหกรรมท้องถิ่นหยุดชะงัก เนื่องจากแรงงานกัมพูชาเป็นกำลังหลักของภาคธุรกิจก่อสร้างในภาคตะวันออกไม่ว่าจะเป็นโครงการบ้านจัดสรร คอนโด และแม้แต่ถนนของหน่วยงานรัฐก็ล้วนแต่ใข้แรงงานกัมพูชาเป็นหลัก การสูญเสียแรงงานครั้งนี้จะก่อให้เกิดความเสี่ยงในการส่งงานล่าช้า ทำให้ผู้รับเหมารายย่อยที่มีต้นทุนน้อยสายป่านไม่ยาวจะขาดสภาพคล่อง และอาจส่งผลถึงค่าปรับล่าช้าที่ตามมาซึ่งจะส่งผลต่อผู้ประกอบการโดยตรง
3. ภาคเกษตรและเกษตรแปรรูปจะเสียหายอย่างรุนแรง เป็นที่ทราบกันดีครับว่าภาคตะวันออกเป็นแหล่งปลูกพืชผลทางการเกษตร เช่น ทุเรียนที่ต้องใช้แรงงานในการดูแลสวนทั้งปี และผลไม้อีกหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นลำไย ลองกอง มังคุด ที่กำลังจะเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวในอีกประมาณ 1-2 เดือนข้างหน้า และสวนผลไม้เหล่านี้เอง ก็ใช้แรงงานกัมพูชาทั้งสิ้น นอกจากตัวผลไม้สดแล้ว ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน เช่นโรงงานผลไม้แปรรูป อบแห้งต่างๆก็ใช้แรงงานกัมพูชาด้วยเช่นกัน และ หากแรงงานไม่เพียงพอที่จะเก็บเกี่ยวผลผลิต ก็จะทำให้ผลผลิตเสียหาย ส่งออกไม่ได้ ออเดอร์ที่รับมาล่วงหน้าก็จะเป็นปัญหา ทำให้ทั้งเสียรายได้ เสียเครดิต ส่งผลกระทบวงกว้าง ซึ่งเฉพาะมูลค่าผลไม้ส่องออกของภาคตะวันออกนั้นก็มีถึงประมาณ 1.2 แสนล้านบาทต่อปีแล้ว ถ้าหากขาดแคลนแรงงานไปเศรษฐกิจตรงนี้ก็จะเป็นปัญหาทันทีครับ
4.นอกจากผลไม้แล้ว ภาคตะวันออกรวมทั้งภาคอีสานเป็นแหล่งปลูกอ้อยซึ่งจะเริ่มฤดูเก็บเกี่ยวในช่วงปลายปี เช่นเดียวกันกับปาล์มน้ำมันที่มีอยู่มากเช่นกันในภาคตะวันออกอุตสาหกรรมเหล่านี้ใช้แรงงานกัมพูชาเป็นหลักเช่นกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มากครับ เพราะไทยเป็นประเทศที่ส่งออกน้ำตาลเป็นอันดับ 2-3 ของโลกมาตลอด และ ส่งออกน้ำมันปาล์มในระดับติด Top 5 ของโลกเช่นกัน หากขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมนี้จะกระทบต่อราคาและห่วงโซ่อุปทานของสินค้าอุปโภคบริโภคหลักคือน้ำมันพืชและน้ำตาล และส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างยากที่จะฟื้นตัวครับ
มีข้อเสนอในการจัดการปัญหาการขาดแคลนแรงงานเฉียบพลันอยู่ 6 ข้อ ดังนี้
1. สำรวจตำแหน่งงานขาดแคลนเชิงลึกระดับพื้นที่ จัดทำฐานข้อมูลเชิงพื้นที่ โดยบูรณาการข้อมูลจากกรมการจัดหางาน อุตสาหกรรมจังหวัด และองค์กรภาคเอกชน เปิดรับสมัครงานโดยเริ่มจากจัดหาแรงงานภายในระเทศเป็นอันดับแรก
2. ผ่อนผันให้แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านเข้าทำงานได้ชั่วคราว อาศัยอำนาจตาม ม.17 แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง และ ม.14 กับ 63/2 แห่ง พ.ร.ก.แรงงานต่างด้าว ให้ผู้ที่ถือหนังสือเดินทางไม่ว่าจะเป็นวีซ่าแบบใด ก็ยื่นขอทำงานได้ เผื่อผ่อนผันเป็นการชั่วคราวให้ทำงานในประเทศได้ไม่เกิน 1 ปีไปก่อน (เหมือนกรณีแรงงานประมง) ยื่นคำขอออนไลน์ อนุญาตภายใน 1 วัน ลดค่าธรรมเนียมและเอกสาร
3. ขยายเวลาการต่ออายุ MOU สำหรับแรงงานครบ 4 ปีอนุญาตให้อยู่ทำงานต่อได้อีก 6-24 เดือน โดยไม่ต้องเดินทางกลับประเทศ ยกเว้นการขอวีซ่าใหม่ในช่วงวิกฤต
4. ยืนยันสิทธิแรงงานข้ามชาติ + ปราบปรามการขูดรีดตั้งสายด่วนหลายภาษา พร้อมล่าม สนับสนุนโดยรัฐ + ภาคประชาสังคม
ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ที่แสวงหาประโยชน์ เรียกรับส่วยจากแรงงาน
5. เปิดระบบ Fast Track สำหรับแรงงานที่เคยทำงานในไทยใช้ข้อมูลเก่า ยื่นกลับเข้ามาทำงานได้ง่ายและรวดเร็ว
ตั้งจุดบริการพิเศษ ณ ด่านชายแดนสำคัญ
6. เยียวยาผู้ประกอบการและเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบรัฐสมทบเงินประกันสังคมแทนในช่วงวิกฤตออกมาตรการพักหนี้ และจัดหาเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ลดหรืองดเว้นค่าธรรมเนียมบางอย่างในการประกอบธุรกิจและจัดหาแรงงาน
พิจารณาลดภาษีผู้ประกอบการรายย่อยที่รายได้ลดลงจากเหตุแรงงานหาย
"สุดท้ายครับรัฐบาลต้องตอบให้ได้ครับว่า “มีแผนจะจบความขัดแย้งเมื่อไหร่?” และ “มีมาตรการรองรับผลกระทบด้านแรงงานและเศรษฐกิจอย่างไร?” นายสหัสวัต ระบุ
ภาพและข้อความ: สหัสวัต คุ้มคง