หนทางเดินของนักบรรพชีวินวิทยา “Mr.DinoDigger” แฟนพันธุ์แท้ไดโนเสาร์
“นี่คือรายการแฟนพันธุ์แท้ครับ!”
ผู้เข้าแข่งขันหมายเลข 3“เคน-กษิดิศ เอี่ยมละออ” อายุ 13 ปี เด็กหนุ่มผู้เริ่มรู้จักกับสัตว์ดึกดำบรรพ์มาตั้งแต่จำความได้ ทั้งยังค้นคว้าหาข้อมูลในเรื่องราวของสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งวิชาที่เจ้าตัวต้องศึกษานอกเวลาเรียนอยู่เสมอ
“แหม่! ตอบผิดถึงสองครั้งด้วยกันครับสำหรับน้องกษิดิศ ทำให้ต้องตกรอบแรกไปก่อน”
จากเทปรายการแฟนพันธุ์แท้เมื่อ 2 สิงหาคม 2556 ที่มีเด็กหนุ่มใส่แว่นเหลี่ยมเป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขัน แม้เขาจะตกรอบแรกในเกมด้วยอายุ 13 ปี แต่ใครจะรู้ว่าในความเป็นจริงขณะนี้ เขาขึ้นแท่นกลายเป็นนักบรรพชีวินวิทยาด้วยอายุ 25 ปี ทั้งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังนิทรรศการ Thainosaur กรุความรู้สัตว์ดึกดำบรรพ์ของประเทศไทย
และใครจะรู้ว่านักบรรพชีวินวิทยาคนนี้ทุ่มความหลงใหลเกือบค่อนชีวิตให้แก่ไดโนเสาร์
นอกจากอาชีพนี้จะไม่ได้มีอยู่มากนักในบ้านเรา อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อยากพูดคุยกับเขาเหลือเกิน คงเป็นเพราะสถานะเจ้าของเพจ Mr.DinoDigger
แน่นอนว่าจุดนัดพบของเราต้องเป็นท่าพิพิธภัณฑ์ สถานที่ที่เคนเข้าออกอยู่บ่อยครั้งในเวลานี้ ดูแล้วคงจะมีโอกาสเจอตัวเขาอยู่เนืองๆ จนกว่าจะเข้าเดือนพฤศจิกายนที่นิทรรศการจบลง
มิสเตอร์ไดโนเสาร์รุ่นเยาว์
จำครั้งแรกที่รู้จักกับคำว่าไดโนเสาร์ได้ไหม
สัก 3-4 ขวบ พ่อชอบซื้อม้วนวิดีโอสารคดีไดโนเสาร์มาเปิดให้ดู อย่าง Walking with Dinosaurs 1999 แล้วก็มีงาน Dig it up ที่เป็นแนวหน้าสมัยก่อน เขาจะมาจัดตามห้าง ผมก็ไปขุดเล่นบ่อยๆ ในสวนสยามก็มีรูปปั้นไดโนเสาร์นะ ผมชอบที่มันไม่มีอะไรเหมือนสัตว์ปัจจุบันเลย ดูน่าค้นหาดี เรียกว่าได้แรงบันดาลใจมาตั้งแต่ตอนนั้น
โมเมนต์ไหนที่รู้เลยว่าจะเอาจริงกับเรื่องไดโนเสาร์แล้ว
ไม่นาน 12 ปีที่แล้วเอง (หัวเราะ) ผมเป็นหนึ่งในห้าผู้เข้าแข่งขันแฟนพันธุ์แท้ตอนสัตว์ดึกดำบรรพ์ ตอนนั้นแค่อยากลองความรู้ตัวเอง ไม่ได้คิดอะไรมาก สุดท้ายก็ได้ไปออกรายการ ถึงจะตกรอบแรกๆ แต่เป็นจุดพลิกผันเลยว่าจะมาสายนี้ ผมเข้าเรียนวิทย์คณิตช่วง ม.ปลาย ต่อด้วยคณะวิทยาศาสตร์ ภาควิชาธรณีวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ไม่ลังเลกับเส้นทางเลยเหรอ
มีช่วง ม.6 ที่ต้องคิดว่าเราจะเป็นนักบรรพชีวินวิทยาได้จริงๆ ไหม ถ้าเลือกทางนี้จริงๆ จะทำอะไรได้บ้าง แล้วเราจะทำได้หรือเปล่า มันก็ดูไม่หมูเลย ตอนนั้นไปสอบเข้าวิศวะเคมีก็ติด สอบ ICT ก็ติด แต่ไม่เอาอะไรทั้งนั้น สุดท้ายก็เลือกสิ่งที่ชอบอยู่ดี ไปๆ มาๆ มันก็ทำได้นะ ต้องค่อยๆ เรียนรู้กันไป ถ้ามีจักรวาลคู่ขนาน ผมอาจจะเป็นวิศวะเคมีอยู่สักที่หนึ่งก็ได้
ครอบครัวสนับสนุนความฝันนี้ไหม
แรกๆ เขาก็ตั้งคำถามว่าโตไปจะทำอะไรกิน ขุดดินกินจะพอเหรอ แต่มันมีช่องทางอยู่ ไม่ใช่ทำแค่นั้นหรอก จะต่อยอดด้านน้ำมัน ถ่านหิน สิ่งแวดล้อมก็ยังได้ บรรพชีวินเป็นแค่แขนงหนึ่งของธรณีวิทยา
ปักธงเลยหรือเปล่าว่าโตไปจะต้องได้เป็นนักขุดกระดูกไดโนเสาร์
ก็คิดอย่างนั้นนะ (หัวเราะ) ตอนเรียนคิดว่าโตมาก็คงได้ขุด แล้วก็ได้ขุดจริงๆ ส่วนใหญ่เราจะขุดต่อจากที่เขาขุดกันมาอยู่แล้ว แต่ผมเป็นสายอยู่ในห้องแล็บซะมากกว่า นี่! ผมเคยไปเดินสำรวจที่จังหวัดกาฬสินธุ์ แล้วเจอกระดูกไดโนเสาร์ชิ้นเล็กๆ ด้วยนะ ชีวิตนี้ถ้าเจอหัวไดโนเสาร์แค่หนึ่งตัว ผมคงตายตาหลับ
ช่อง Mr.DinoDigger มีที่มาอย่างไร
ตอนม.ปลายผมชอบพูดเรื่องไดโนเสาร์ให้เพื่อนฟังก็เลยทำขึ้นมาด้วยกันไว้ดูเอง จนวันหนึ่งเพื่อนบอกว่าเฮ้ย! มันไม่ได้มีแต่พวกเราดูแล้วว่ะ (หัวเราะ) ตอนนั้นหนัง Jurassic World 2015 ภาคแรกกำลังเข้าด้วย ยิ่งช่วยบูสต์ช่องผมเข้าไปอีก
มั่นใจไหมว่าสิ่งที่เราพูดเป็นความรู้ที่ถูกต้อง
ไม่ครับ (หัวเราะ) เทียบกับสมัยนี้จะมีเปเปอร์เรื่องไดโนเสาร์ออกมาทุกๆ สองสัปดาห์ให้เห็น ผมก็ลุ้นอยู่บ้างว่าที่พูดไปจะถูกไหม อีกปีหนึ่งหรือสามวันอาจจะผิดก็ได้ เพราะวิทยาศาสตร์มันก้าวหน้าเรื่อยๆ อย่างงานที่จัดแสดงอยู่ก็อาจจะไม่ถูกต้องเสมอไป จากที่เราใช้คำว่ามันเป็นแบบนี้ ก็ต้องใช้คำว่าอาจจะเป็นแบบนี้ ควรจะเป็นแบบนี้
เคยมีคอมเมนต์มาแย้งไหมว่าไม่ถูกนะ
มีครับ เป็นเรื่องปกติ เราตีความไม่เหมือนกันอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่าใครมีหลักฐานที่หนักแน่นกว่า ผมยังเคยเปลี่ยนความคิดเพราะฟังหลักฐานที่เมกเซนส์กว่ามาเลย ต้องแก้ไขที่ตัวเอง มีศัพท์ใหม่เมื่อไม่นานมานี้คือคำว่า “นักสื่อสารวิทยาศาสตร์” เป็นการพูดเรื่องวิทย์ๆ ให้ไม่เหมือนนั่งอยู่ในห้องเลกเชอร์ เป็นอีกเทคนิคสื่อสารหนึ่งที่ผมมองว่าจำเป็นมาก เพราะบางทีพูดเรื่องวิทยาศาสตร์ ใช้ศัพท์ทางการคนจะไม่ค่อยเข้าใจ ตอนนี้ผมเป็นทั้งสองอย่างเลย ทั้งนักวิจัยและนักสื่อสารวิทยาศาสตร์ด้วย
ในช่วง 2 - 3 ปีมานี้ผมว่าบ้านเราให้ความสำคัญกับเรื่องไดโนเสาร์มากขึ้นนะ เห็นได้จากนิทรรศการ Thainosaur ในฐานะที่ผมทำช่องมา 10 กว่าปี คือแฮปปี้เลย! เพราะมันเปลี่ยนไปมาก จากที่พยายามสื่อสารเรื่องนี้มานาน หรือแม้แต่ทำเปเปอร์แล้วถูกพูดถึงแค่นิดหนึ่งก็ชื่นใจแล้ว
คำบอกเล่าจากนักบรรพชีวินวิทยา
จุดที่ยากที่สุดในการเรียนปริญญาโท ภาควิชาธรณีวิทยาคืออะไร
การวิจัยนี่แหละที่ยากที่สุด กว่าเราจะขุดเจอกระดูกชิ้นหนึ่งก็ยาก อาจต้องพึ่งโชคชะตา เดินสำรวจไปเรื่อยๆ ถ้าเจอแล้วจะเอาขึ้นมาจากหลุมก็ยาก สมมติขาไดโนเสาร์ยาว 2 เมตรก็ต้องคว้านหินหนึ่งตัน กว่าจะเข้าห้องแล็บแล้วเข้าสู่การวิจัย เราต้องอ่านเปเปอร์เพื่อทบทวนองค์ความรู้ทั้งหมดว่าสิ่งที่เราเจอเป็นพันธุ์ใหม่หรือเปล่า เอาไปเทียบเคียงกับพันธุ์ที่คาดว่าน่าจะเป็นเพื่อนสนิทของมัน รันไปทีละข้อว่าลักษณะแบบนี้จะไปตกอยู่ที่กลุ่มไหน บางงานวิจัยอาจใช้เวลา 4-5 ปี แล้วแต่ความยากง่าย
ในยุคที่โลกก้าวไปสู่เทคโนโลยี คิดว่าทำไมคนถึงควรให้ความสนใจเรื่องดึกดำบรรพ์อยู่
ถ้าพูดกันตามตรง เทคโนโลยีก็จำเป็นกว่าสิ่งที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้นะ (หัวเราะ) ในประเทศที่เจริญแล้ว อาจจะไม่ได้เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับทุกคน คือไม่รู้ก็ไม่ผิด แต่อย่างน้อยการศึกษาประวัติศาสตร์สิ่งมีชีวิตก็สำคัญ ตรงที่เราจะได้รู้ว่าต้นตอเรามาจากไหน กว่าจะเป็นมนุษย์ เป็นคนไทยต้องผ่านอะไรมาบ้าง โลกนี้ไม่ได้มีแค่ตัวเรา ทุกอย่างมีเรื่องเล่าและเชื่อมต่อถึงกันหมด สัตว์ทุกชนิดที่เราเห็นเป็นผลพวงจาก 4,600 ล้านปีที่แล้ว เราจะได้รู้ว่าโลกมีความเปลี่ยนแปลงอย่างไร ไดโนเสาร์ก็เป็นเพียงกลุ่มมีชีวิตหนึ่งเท่านั้น มีอีกเป็นล้านชนิดที่ยังอยู่และสูญพันธุ์ไปแล้ว
ประโยคหนึ่งที่นักธรณีวิทยาเขาชอบกล่าวกัน “The present is the key to the past.” ปัจจุบันเป็นกุญแจไขสู่อดีต ถ้าเราเข้าใจปัจจุบันก็จะเข้าใจอดีต เป็นประโยคที่จริงมากเหมือนปรัชญาเลย มันมีแพตเทิร์นของการสูญพันธุ์ในอดีตแต่ละครั้ง เราจะเห็นว่าฟอร์มแบบไหนอยู่รอด สภาพภูมิอากาศไหนที่ก่อให้เกิดการสูญพันธุ์ ตอนนี้เราเผชิญกับยุคน้ำแข็งอยู่ อีกสองแสนปีถึงจะวนกลับมาอีกครั้ง ศาสตร์เหล่านี้ทำให้เราพอจะทำนายอนาคตหรือรักษาสิ่งมีชีวิตที่ยังอยู่ได้
บรรพชีวินเป็นแค่แขนงหนึ่งของวิทยาศาสตร์ อย่างการที่เด็กๆ ชอบไดโนเสาร์ เขาก็จะได้เรียนรู้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์โดยไม่รู้ตัว อายุ 3-4 ขวบเป็นช่วงที่จุดประกายได้ดีมากๆ ตัวนี้พันธุ์อะไร กินอะไร วิวัฒนาการอย่างไร พวกเขาจะได้กระบวนการเหล่านี้ไป อาจจะโตไปเป็นนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร หรือนักบินก็ได้ เพราะทั้งหมดมีวิทยาศาสตร์แฝงอยู่ ถ้าใครมีลูกแล้วชอบไดโนเสาร์ก็ให้เขาชอบไปเถอะ
มีอะไรแนะนำคนที่อยากเป็นนักบรรพชีวินวิทยาไหม
ถ้าให้พูดจริงๆ ต้องเตรียมใจก่อนเลย เพราะบ้านเราไม่มีคณะที่ศึกษาด้านนี้โดยตรง ควรจะตัดสินใจหรือรู้ตัวเองตั้งแต่ ม.3 เพื่อที่ ม.ปลาย จะได้เข้าสายวิทย์คณิต ช่วง ป.ตรี ก็จะมีสังกัดวิทยาศาสตร์อยู่สองภาควิชาที่ไปในด้านนี้ได้ หนึ่งคือธรณีวิทยา สองคือชีววิทยา สาขาสัตววิทยา บรรพชีวินจะเป็นกึ่งกลางของสองศาสตร์นี้ เราเลือกเรียนอย่างใดอย่างหนึ่งได้
บ้านเรายังไม่มีปริญญาโทบรรพชีวินวิทยานะ อย่างผมก็เรียนธรณีวิทยามา มันดีตรงที่เราเลือกวิจัยในสิ่งที่เราสนใจได้ เลือกอาจารย์ที่ปรึกษาได้ ผมเคยเดินไปบอกอาจารย์นอกรอบว่ารับผมเป็นลูกศิษย์หน่อย อยากเป็นนักบรรพชีวินวิทยา (หัวเราะ)
ส่วนปริญญาเอกก็จะมีภาคบรรพชีวินที่จังหวัดมหาสารคาม เป็นที่เดียวในประเทศไทย ช่วยผลิตบุคลากรเพื่อเติมเต็มประเทศเราในด้านนี้ได้เยอะ แต่ถ้าอยากเปลี่ยนฟีลก็ลองไปเรียนที่ต่างประเทศได้ ประเทศเราเองยังขาดบุคลากรด้านนี้ อุปกรณ์ก็ไม่พอ ในต่างประเทศเขาจะแยกแผนกกันไปเลย นักวิจัยจะเอากระดูกไปวิจัย มีช่างทำความสะอาดกระดูกโดยเฉพาะ แต่นักบรรพชีวินวิทยาบ้านเราต้องทำหลายอย่าง บางทีก็เพนต์กระดูกกันเองเพื่อนำไปจัดแสดง เขียนเอกสารขอจัดกิจกรรมเองก็เขียนมาแล้ว
ไดโนเศร้า
จากมุมมองของคนที่อยู่ในโลกไดโนเสาร์มานาน คิดว่าคนไทยให้ความสนใจในเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน
ผมว่ายังไม่มาก มันไม่ใช่พ็อปคัลเจอร์บ้านเรา ไม่ต้องเทียบกับที่ไหนไกลเลย อย่างประเทศญี่ปุ่นเขาจะเฮฮากับเรื่องไดโนเสาร์มาก โดเรมอนนี่มีไดโนเสาร์อยู่ในเรื่องตั้งแต่ 40-50 ปีที่แล้ว ก็อตซิลลาก็มีต้นแบบมาจากไดโนเสาร์ที่กลายเป็นไอคอนของญี่ปุ่น เหมือนมันฝังรากในบ้านเขาไปแล้ว แต่ตอนนี้ที่มีงาน Thainosaur มาเสิร์ฟให้ถึงประเทศไทย อย่างน้อยเด็กๆ ที่เขามาดูกัน คงมีสักสิบคนแหละที่โตไปแล้วอยากเป็นนักบรรพชีวินวิทยา (หัวเราะ)
ไดโนเสาร์บ้านเราต่างจากประเทศอื่นอย่างไร
ภูมิภาคโซนเอเชียอาจจะไม่ต่างกันมาก แต่ถ้าเทียบกับอเมริกาจะเห็นได้ชัด ในต้นยุคครีเทเชียสบ้านเราจะมีแก๊งสยามโมซอรัสที่ปากยาว มีกระโดง อเมริกาจะเป็นสไปโนซอรัสที่ขาสั้น มือใหญ่ ต่างกันชัดเจนเลย แต่ขอหยุดไว้เท่านี้ก่อนนะ เดี๋ยวจะยาว
ตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ ความชอบในไดโนเสาร์ลดน้อยลงบ้างหรือเปล่า
ตอนเด็กกราฟพุ่งขึ้นสูงมากแล้วสักพักก็ดิ่งลง เพราะเหมือนเราไม่รู้อะไรเลย หลังจากได้เห็นว่าโลกมันกว้างขนาดไหน ทำให้ต้องเรียนรู้ใหม่อยู่ตลอด อาจจะตอบยากว่าชอบมากขึ้นหรือน้อยลงนะ ตอนเด็กผมชอบเพราะมันเท่ดี แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าตั้งคำถามตลอด กลายเป็นความชอบที่ได้สงสัย ทำไมไอตัวนี้หายไป ทำไมตัวนี้เกิดเป็นตัวถัดมา ทำไมก๊วนนี้หายไปทั้งก๊วนเลย ในช่วงทำวิจัยก็มีบ้างที่ผมหมดแพสชัน แค่ต้องพาตัวเองไปพัก เดี๋ยวก็กลับมาทำวิจัยต่อได้
อยากขับเคลื่อนอะไรต่อไปในวงการไดโนเสาร์ไทย
โห! พูดเลยว่ากระดูกชิ้นหนึ่งของไดโนเสาร์มันให้ผมได้ไม่สิ้นสุด เป็นศาสตร์ที่น่าอัศจรรย์มากเลย ผมถึงอยากต่อยอดไดโนเสาร์บ้านเราให้มากกว่ารู้แค่ว่ามันชื่ออะไร อาศัยอยู่ที่ไหน อย่างเจอฟันปุ๊บก็รู้เลยว่ามันกินอะไร หรือถ้ากระดูกบวม มีรอยร้าว ตัวนี้เป็นโรคอะไรก่อนตาย ผมว่าไดโนเสาร์ไทยมีศักยภาพพอที่จะรู้ถึงขั้นนั้นได้
ไทยโนซอร์
ไอเดียแรกของนิทรรศการ Thainosaur เกิดขึ้นตอนไหน
เริ่มจากอาจารย์ที่ปรึกษาผม เขาเอาหนังสือดึกดำบรรพ์พันธ์ุไทยที่ผมทำกับเพื่อนให้คุณพิริยะ วัชจิตพันธ์ ผู้ก่อตั้งท่าพิพิธภัณฑ์ลองอ่าน เขาก็เห็นว่าบ้านเรามีสัตว์ดึกดำบรรพ์เยอะมาก ถ้าหนังสือเล่มนี้ถูกดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีเฉพาะสัตว์ดึกดำบรรพ์บ้านเรา มันจะน่าสนใจมากขนาดไหน ท้ายที่สุดก็กลายเป็นนิทรรศการที่เล่าเรื่องราวเมื่อร้อยล้านปีที่แล้ว จนถึงวันที่มนุษย์เกิดมาว่ามันมีเรื่องราวอะไรบ้าง
อะไรคือความพิเศษของนิทรรศการนี้ที่อยากให้คนได้เห็น
งานนี้น่าสนใจตรงที่เรารวบรวมสิ่งมีชีวิตที่เกิดในประเทศไทยเพียงอย่างเดียว เช่น สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอย่างสยามนอติลุส ชื่อมันจะไทยมาก คอนเซปต์ค่อนข้างขายความรักชาตินะ (หัวเราะ) จะได้รู้ว่าบ้านเรามีความอัศจรรย์อย่างไร สัตว์บ้านเรามีความโดดเด่นต่างจากที่อื่นอย่างไร ใครจะไปรู้ว่าบ้านเรามีเรื่องราวเกิดขึ้นทุกยุคเลย เป็นจิกซอว์ที่ต่อกันมาจนกลายเป็นประเทศไทย
ฟีดแบกจากคนที่มาชมนิทรรศการเป็นอย่างไรบ้าง
ส่วนใหญ่ความเห็นเป็นไปทางบวก โดยเฉพาะหุ่นที่นำมาจัดแสดงมันสมจริงมาก เกรดเดียวกับต่างประเทศเลย อาจจะสู้อเมริกาที่เป็นเทพเรื่องนี้ไม่ได้ แต่สู้ยุโรปได้ ได้ยินปุ๊บชื่นใจเลย บ้างก็บอกข้อมูลบนป้ายแน่นเกิน อ่านแล้วไม่เข้าใจ พวกผมเขียนกันเองก็อาจจะมีศัพท์ยากบ้าง จะนำไปปรับปรุงครับ (หัวเราะ)
หลังจบนิทรรศการนี้ อยากพาคนไทยไปยุคไหนต่อ
ตอนนี้เราเจาะเป็นกลุ่มสัตว์ดึกดำบรรพ์อยู่ แต่ในอนาคตผมอยากนำเสนอสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม บ้านเรามียีราฟโบราณตัวใหญ่เท่ากับช้างเอเชีย เขายาวประมาณหนึ่งเมตร ไม่เหมือนยีราฟปัจจุบัน อยากให้เป็นกิมมิกเลย แต่ขึ้นอยู่กับว่าจะได้ทำหรือเปล่านะ
บทสนทนาฟังเพลินด้วยเพราะคำของนักบรรพชีวินวิทยาผู้แสนรอบรู้ แม้บุคลิกภายนอกของเคนจะดูพูดไม่เก่งและขี้เขิน แต่ดวงตาเขากลับเป็นประกาย เมื่อได้พาผู้คนหลุดเข้าไปในยุคไดโนเสาร์ที่เขาหลงใหล เสื้อกั๊กสีครีมอ่อนที่สวมทับลงบนเสื้อคอปกเขียว ทั้งกางเกงน้ำตาลกากี รองเท้าผ้าใบเหมือนรูปโลโก้ช่อง Mr.DinoDigger ไม่มีผิดเพี้ยน ราวจะประกาศว่าผมเป็นนักบรรพชีวินวิทยา หรือไม่ก็ผมเป็นนักขุดไดโนเสาร์
เราส่งท้ายด้วยการชวนคุยถึงภาพยนตร์ไดโนเสาร์ แน่เลยว่าเสียงของเคนเจื้อยแจ้วเช่นเคย เล่าได้ลึกจนเราเห็นกระดูกไดโนเสาร์กองอยู่ตรงหน้าจริงๆ
เคยคิดจะทำภาพยนตร์ไดโนเสาร์ไทยบ้างไหม
มีครับ ผมอยากทำหนังสัตว์สยองขวัญ ไม่อยากให้มันฟีลกู๊ดเท่าไหร่ อย่างไดโนเสาร์ที่มีขน คนอาจจะคิดว่ามันไม่น่ากลัว แต่ถ้าได้รู้จักจริงๆ แล้วตรงกันข้ามเลยนะ ถ้ามีใครอยากจอยทีมก็บอกได้นะครับ (หัวเราะ) เราจะได้มีหนังดีๆ เหมือนต่างประเทศบ้าง
มีอะไรอยากอธิบายให้คนที่ไม่เชื่อในโลกไดโนเสาร์ฟังหรือเปล่า
ไม่เชื่อไม่เป็นไร แต่ลองไปออกฟิลด์ลงพื้นที่กับผมสักรอบดู (หัวเราะ) ผมอธิบายให้ฟังได้ทุกอย่างเลย
และนี่เป็นครั้งแรกที่เคนทำท่าถกแขนเสื้อขึ้น หากใครไม่เชื่อว่าไดโนเสาร์มีอยู่จริง ท่าจะต้องวางหมัดกับกูรูคนนี้ดูสักตั้ง เพราะไดโนเสาร์ที่แม้จะต้องกลายเป็นไดโนเศร้าไปบ้าง เมื่อถูกมองข้าม แต่มันถูกมองเห็นเสมอ ทั้งในความคิด ความฝัน และความจริงของ Mr.DinoDigger