'หลักสูตรกลางเวชศาสตร์ความงาม' หยุดการลักลอบเรียนใน 'คลินิกเสริมความงาม'
จากที่คณะกรรมการสถานพยาบาล มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาและรับรองหลักสูตรกลางด้านเวชศาสตร์ความงาม และอนุฯได้ออกคำสั่ง แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาข้อมูลและจัดทำร่างหลักสูตรกลางด้านเวชศาสตร์ความงาม จำนวน 4 คณะ เพื่อดำเนินการจัดทำ พัฒนา กำหนดขอบเขตและรายละเอียดประกอบของหลักสูตรกลางด้านเวชศาสตร์ความงามนั้น
ตั้ง 3 ข้อสังเกต
ผศ.ดร.นพ.สุธีร์ รัตนะมงคลกุล คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ตั้งข้อสังเกต 3 ประเด็นต่อคำสั่งของคณะกรรมการสถานพยาบาลในเรื่องนี้ว่า 1.ผลกระทบต่อระบบสุขภาพ ซึ่งการแต่งตั้งอนุฯและคณะทำงานโดยอ้างนโยบายเศรษฐกิจสุขภาพ สานไปกับยุทธศาสตร์Medical and Wellness Hub
อาจเป็นแรงจูงใจให้แพทย์ใช้ทุนลาออกจากระบบสาธารณสุขไปสู่ธุรกิจความงามมากขึ้น แม้จะช่วยให้แพทย์บางส่วนมีรายได้ชดเชย แต่ปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบสาธารณสุขกลับไม่ได้รับการแก้ไข และยิ่งซ้ำเติมด้วยการดึงกำลังแพทย์ออกจากภาครัฐ และการทำหลักสูตรที่ไม่ได้มาตรฐานจะบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของนโยบายเมดิคัลฮับด้วย
2.ปัญหาด้านอำนาจและกฎหมาย ซึ่งภารกิจของกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) ตามกฎหมายไม่ได้ระบุถึงการรับรองหลักสูตรแพทย์เฉพาะทาง ไม่ได้มีหน้าที่ในการออกหลักสูตร แต่กลับอาศัยอาศัย พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 มาตรา 11 (7) ในการตั้งคณะอนุกรรมการและคณะทำงานเพื่อรับรองหลักสูตรกลางด้านเวชศาสตร์ความงาม ที่ระบุว่า "รัฐมนตรีมอบหมาย" อาจเป็นการดำเนินการที่เกินขอบเขตอำนาจ
และ3.ความโปร่งใสในการแต่งตั้งกรรมการ เช่น มีกรรมการบางส่วนประกาศลาออกกลางโซเชียล มีกรรมการที่มาจากมหาวิทยาลัยที่ไม่มีคณะแพทย์ และมีตัวแทนจากแพทยสภาที่เข้าไปร่วมในคณะกรรมการ ซึ่งอาจก่อให้เกิด ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ได้
แพทย์แอบเรียนในคลินิกเสริมความงาม
ขณะที่ นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) ชี้แจงว่า บริการเสริมความงามเป็นหนึ่งในบริการทางการแพทย์ที่อยู่ในแผนขับเคลื่อนเมดิคัลและเวลเนสฮับของประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันการขออนุญาตเปิดคลินิกเสริมความงาม ไม่ได้มีกฎหมายกำหนดเฉพาะ แต่ขออนุญาตสถานพยาบาลเช่นเดียวกับคลินิกเวชกรรมปกติทั่วไป จึงไม่สามารถระบุจำนวนที่เพิ่มขึ้นของคลินิกเสริมความงามได้
ทั้งนี้ แพทย์บางท่านจะมีความเห็นว่า ผู้ที่จะให้บริการในคลินิกเสริมความงาม ต้องจบแพทย์ เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่งเท่านั้น ซึ่งประเทศไทยก็มีจำนวนแพทย์ด้านนี้โดยตรงไม่มาก ก็จะทำให้ธุรกิจขยายตัวไม่ได้ แต่แพทย์บางท่านก็ให้ความเห็นว่า การเสริมความงาม ไม่จำเป็นต้องใช้ วิธีการผ่าตัดศัลยกรรมอย่างเดียว ยังมีวิธีอื่นๆที่หลากหลาย
อย่างไรก็ตาม ข้อกังวลในประเด็นแพทย์ที่มาให้บริการที่คลินิกเสริมความงาม อาจจะไม่ได้มีความรู้ ความชำนาญ ความเชี่ยวชาญที่เพียงพอในเรื่องของการให้บริการเสริมความงาม ซึ่งคณะกรรมการสถานพยาบาล ก็เห็นประเด็นปัญหาในเรื่องนี้ จึงมองว่าสิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการ คือ การจัดทำหลักสูตรกลางหรือการเรียนการสอนสำหรับผู้ให้บริการเสริมความงาม
"หากไม่มีหลักสูตรกลาง ก็จะเจอปัญหาอย่างผู้ให้บริการเป็นแพทย์จบใหม่ที่ไม่ได้เรียนเรื่องนี้เลย หรือว่าแพทย์จบใหม่ต้องเสียเงินไปเรียนเรื่องหัตถการเสริมความงามเองกับแพทย์รุ่นพี่ตามคลินิก ซึ่งราคาก็ค่อนข้างแพง ที่สำคัญปัจจุบันกฎหมายมีข้อจำกัดไม่ได้อนุญาตให้คลินิกเปิดการเรียนการสอน แต่ต้องเป็นระดับโรงพยาบาล ซึ่งบางคนก็ต้องบินไปเรียนที่ประเทศเกาหลี”นพ.ภานุวัฒน์กล่าว
หลักสูตรกลาง มุ่งคุ้มครองผู้บริโภค
คณะกรรมการสถานพยาบาลในฐานะหน่วยงานที่ดูแล พ.ร.บ. สถานพยาบาล พ.ศ.2541 และขับเคลื่อนการคุ้มครองผู้บริโภคด้านบริการสุขภาพ จึงมีบทบาทสำคัญในการผลักดันหลักสูตรนี้ โดยมีอำนาจในการรับรองหลักสูตรได้
เช่นเดียวกับการกำหนดมาตรฐาน เรื่อง บริการฟอกไตเทียมในอดีต ที่ให้บุคลากรที่จะให้บริการฟอกไตเทียมได้ต้องผ่านการเรียนการสอนจากหลักสูตรเรื่องนี้ที่คณะกรรมการสถานพยาบาลรับรอง ก่อนที่ต่อมาหลักสูตรบริการฟอกไตเทียมจะมีการออกและรับรองโดยแพทยสภาและสภาการพยาบาล ใช้ในการเรียนการสอนให้ผู้ประกอบวิชาชีพ
หลักสูตรกลางเวชศาสตร์เสริมความงามก็เช่นกัน คณะกรรมการสถานพยาบาล จึงมีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการพิจารณาและรับรองหลักสูตรกลางด้านเวชศาสตร์ความงาม และอนุฯได้ออกคำสั่ง แต่งตั้งคณะทำงานศึกษาข้อมูลและจัดทำร่างหลักสูตรกลางด้านเวชศาสตร์ความงาม จำนวน 4 คณะ ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งหลักสูตรนี้จะต้องได้รับการรับรองจากคณะกรรมการสถานพยาบาลและเห็นชอบจากสภาวิชาชีพที่เกี่ยวข้องด้วย
“หลักสูตรที่กำลังพัฒนาจะไม่ใช่หลักสูตรเฉพาะทางที่ซับซ้อน แบบที่ราชวิทยาลัยดำเนินการอยู่แล้วโดยตรงอย่างศัลยกรรมตกแต่ง แต่จะเน้นครอบคลุมหัตถการเสริมความงามที่มีหลากหลาย ไม่ใช่ เฉพาะผ่าตัดอย่างเดียว เพราะมีทั้งเรื่องของการฉีดสาร เช่น บริการโบท็อก ฟิลเลอร์ เป็นต้น”นพ.ภานุวัฒน์กล่าว
ขึ้นทะเบียนผู้ให้บริการเสริมความงาม
หลักสูตรนี้อาจเปิดรับทั้งแพทย์และบุคลากรอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น พยาบาล ที่ต้องทำงานร่วมกัน เมื่อหลักสูตรได้รับการอนุมัติแล้ว สถาบันที่จะพิจารณาให้มีการเรียนการสอน ก็จะเป็นสถานพยาบาลเป็นหลัก หรือสถาบันการศึกษาที่มีศักยภาพ เช่น มีคณะแพทย์ คณะพยาบาล หรือมีศักยภาพเรื่องประกอบวิชาชีพเวชกรรม สามารถขออนุญาตเพื่อเปิดสอนหลักสูตรได้
ซึ่งผู้ที่ผ่านการเรียนการสอนจากหลักสูตรกลางที่ได้รับการรับรองนี้ จะสามารถขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการเสริมความงามได้ เพราะถือเป็นหลักสูตรที่คณะกรรมการสถานพยาบาลให้การรับรองแล้วและมีกระบวนการไปติด ตามกำกับว่ามีการทำตามมาตรฐานหรือไม่
“ที่ผ่านมาก็มีการร้องเรียนเรื่องคลินิกเสริมความงามอยู่เรื่อยๆ ทั้งเรื่องที่ผู้ทำหัตถการไม่ใช่แพทย์จริง เป็นแพทย์เถื่อน หรือแพทย์จริงก็อาจจะข้อผิดพลาด เกิดปัญหาแทรกซ้อนขึ้นได้ ก็ต้องให้แพทยสภาพิจารณาว่าทำตามมาตรฐานทางการแพทย์หรือไม่ หลักสูตรกลางนี้ก็จะเป็นการยกระดับมาตรฐานการบริการสุขภาพและความงาม เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประเทศในระยะยาว”นพ.ภานุวัฒน์กล่าว