'ภัยน้ำวิกฤติ' ไทยถึงคราวปฏิรูปนโยบายน้ำครั้งใหญ่ รับมือสภาพภูมิอากาศแปรปรวน
ภัยพิบัติทางน้ำทวีความรุนแรงและถี่ขึ้น สัญญาณเตือนจากธรรมชาติ
ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญกับภัยพิบัติทางน้ำที่รุนแรงและถี่ขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับหนึ่งศตวรรษก่อนหน้า เหตุการณ์ฝนตกหนักผิดปกติในเท็กซัสที่ทำให้ระดับน้ำสูงขึ้น 8 เมตรภายใน 45 นาที แม้เป็นต่างประเทศ แต่ก็สะท้อนภาพความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อในไทย เช่นเดียวกับเหตุการณ์น้ำท่วมฉับพลันในจังหวัดน่านและเชียงใหม่ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
"ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นเนี่ย มันเกิดถี่มากว่า 100 ปีที่แล้วซะอีก"ดร.สิตางศุ์ พิลัยหล้า ภาควิชาวิศวกรรมทรัพยากรน้ำ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวในงาน CLIMATE FINANCE TRACKER Uncovering Thailand's Flows ว่า
โดยเฉพาะน้ำท่วมในเชียงรายและเชียงใหม่ที่กลายเป็นภาพคุ้นตา ความไม่แน่นอนของสภาพภูมิอากาศทำให้การคาดการณ์ปริมาณน้ำยากขึ้นอย่างมาก จนต้องมีการอัปเดตแผนบริหารจัดการน้ำในเขื่อนรายเดือน แม้ว่ามนุษย์จะปรับตัวได้ดีขึ้นจนลดจำนวนผู้ได้รับผลกระทบโดยรวมลงได้ แต่ภาคการเกษตรของไทยยังคงอ่อนไหวอย่างมากต่อภัยธรรมชาติ เนื่องจากเป็นภาคส่วนที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้
พลิกโฉมนโยบายน้ำไทย จากอดีตสู่ปัจจุบันที่ยังต้องการการปรับปรุง
นโยบายการบริหารจัดการน้ำของไทยมีการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย แต่ยังคงมีจุดที่ต้องปรับปรุงเพื่อรับมือสถานการณ์ปัจจุบัน
- ยุคเริ่มต้น (แผนพัฒนาฉบับที่ 1-3): เน้นการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่เพื่อผลิตไฟฟ้าและสนับสนุนการส่งออกข้าว โดยมีเป้าหมายให้ไทยเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของโลก
- ยุคอุตสาหกรรม (แผนพัฒนาฉบับที่ 6-7): การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมนำไปสู่ปัญหาสิ่งแวดล้อมและการแย่งชิงทรัพยากรน้ำระหว่างภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม
- ยุคเศรษฐกิจพอเพียง (แผนพัฒนาฉบับที่ 9-12): หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ประเทศไทยหันมาเน้นแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง
- แผนพัฒนาฉบับที่ 13 (ปัจจุบัน): มีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น โดยกล่าวถึง "climate change พูดถึงเทคโนโลยี พูดถึงการต้องปรับตัว การต้องเตือนภัย การต้องรับมือมันให้ได้" รวมถึงการเน้น "เศรษฐกิจหมุนเวียนและสังคมคาร์บอนต่ำ" และ "ลดความเสี่ยงและผลกระทบจากภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ"
หลังเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ประเทศไทยมีการปฏิรูปการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำอย่างจริงจัง มีการจัดตั้ง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในปี 2560 และมี พ.ร.บ. น้ำ ฉบับแรกในปี 2561 อย่างไรก็ตาม แม้มีการเพิ่มงบประมาณด้านน้ำอย่างมากหลังปี 2554
แต่งบประมาณส่วนใหญ่ (60%) ยังคงเน้นไปที่"การจัดสรรน้ำ" และ 30% ไปที่ "การป้องกันน้ำท่วม" ซึ่งมักถูกใช้ไปกับการก่อสร้างโครงสร้างทางกายภาพ เช่น กำแพงป้องกันน้ำท่วมและพนังกั้นน้ำ ซึ่งมักประสบปัญหา"พนังแตกทุกปี" (เช่นกรณีสุโขทัย) สะท้อนให้เห็นว่าการแก้ปัญหายังคงเน้นโครงสร้างมากกว่าการแก้ปัญหาเชิงระบบ
ความท้าทายและข้อจำกัด ปัญหาที่ยังคงเป็นอุปสรรค
แม้จะมีความพยายามในการปรับปรุง แต่ยังมีข้อจำกัดและความท้าทายที่สำคัญ
- ความขัดแย้งเชิงนโยบายและการปฏิบัติ: มีความพยายามที่จะผันน้ำจากลุ่มน้ำข้างเคียง เช่น แม่น้ำสาละวิน เพื่อเติมน้ำในเขื่อนภูมิพลและเจ้าพระยาด้วยงบประมาณมหาศาล (70,000 ล้านบาท) แต่ในขณะเดียวกันก็ยังคงมีการสร้างเขื่อนในพื้นที่ป่าไม้ ซึ่งขัดแย้งกับเป้าหมายการเพิ่มพื้นที่ป่า
- การสูญเสียน้ำในระบบประปา: ระบบส่งน้ำประปาของไทยมีการสูญเสียน้ำจำนวนมาก "ส่งน้ำมา 100 หายไป 30-40 [และ] ในปีนึงเราทำน้ำหายไป 800 ล้าน [ซึ่งเท่ากับ] เขื่อนป่าสัก 1 เขื่อน เท่ากับเขื่อนภูมิพล 3 เขื่อน" แสดงถึงความไร้ประสิทธิภาพในการจัดการทรัพยากรน้ำที่มีอยู่
- ปัญหาคุณภาพน้ำ: ปัญหาคุณภาพน้ำยังคงเกิดขึ้น โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและผลกระทบจากเหมืองเพื่อนบ้าน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ
- ความตระหนักรู้ของประชาชน: ประชาชนในกรุงเทพฯ "แทบไม่ตระหนักเรื่องนี้เลย" เมื่อพูดถึงปัญหาภัยแล้ง ตราบใดที่น้ำยังไหลจากก๊อก.
ทิศทางในอนาคต ถึงเวลา "ความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง"
ผู้เชี่ยวชาญสรุปว่าแนวทางเดิมที่เน้น "งบประมาณ เรื่องโครงสร้าง เรื่องการก่อสร้าง เรื่องคอนกรีต" มาตลอด 110-120 ปี "มันคงไม่สามารถตอบโจทย์ของประเทศไทยที่เกิดขึ้น ณ วันนี้แล้ว" สิ่งที่จำเป็นคือ
- "Vision Integration": การบูรณาการวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและครอบคลุมในการบริหารจัดการน้ำ เพื่อให้ทุกภาคส่วนทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ
- "ความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง": ความกล้าหาญในการเปลี่ยนแปลงแนวทางและนโยบายที่ล้าสมัย เพื่อรับมือกับความท้าทายจากภัยพิบัติทางน้ำที่รุนแรงและถี่ขึ้นในอนาคต
ประเทศไทยยืนอยู่บนทางแยกสำคัญในการจัดการทรัพยากรน้ำ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้นเรียกร้องให้ทบทวนและปรับปรุงแนวทางเดิมๆ ถึงเวลาแล้วที่ทุกภาคส่วนจะต้องร่วมมือกัน สร้างวิสัยทัศน์ใหม่ และมีความกล้าที่จะลงมือเปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างความมั่นคงทางน้ำอย่างยั่งยืนให้กับประเทศในอนาคต