เปิดผลดีผลเสียข้อเสนอไทยแลกภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ในอัตรา 19%
สุดท้ายแล้ว สหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้าจากไทยในอัตรา 19% หลังจากทีมไทยแลนด์ได้มีการยื่นข้อเสนอไปยังสหรัฐฯ หลายรอบ เพื่อให้ได้อัตราภาษีที่ดีที่สุด จากก่อนหน้านี้ที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ประกาศภาษีนำเข้าจากไทยในอัตรา 36%
“สุวัฒน์ สินสาฎก” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด โพสต์เพจเฟซบุ๊ก “AI คิดต่างอย่างพี่หมู - Art of Investment” บางส่วนบางตอน ระบุว่า ตามที่ผมคาดการณ์ว่า ไทยน่าจะโดนเก็บภาษีลดลงจาก 36% เหลือ 18-22% หวยออกที่ 19%
แต่สิ่งที่ไทยยอมแลกเพื่อภาษี 19% จากสหรัฐ คืออะไร?
1.ผลบวกมากกว่าลบ: ยกเว้นภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ ราว 90% ของรายการ
โดยภาษีเป็น 0% สำหรับสินค้านำเข้าจากสหรัฐกว่า 10,000 รายการ (จากทั้งหมดประมาณ 11,000 รายการ) โดยส่วนใหญ่เป็นของที่ไทยไม่ได้ผลิตเอง หรือผลิตไม่พอ เช่น เครื่องมือแพทย์ ชิ้นส่วนยานยนต์ขั้นสูง และอาหารเฉพาะทาง
ไทยน่าจะได้รับผลกระทบทางบวกต่อภาคอุตสาหกรรมที่ไทยขาดแคลน เพื่อลดเกินดุลกับสหรัฐ
2.ผลกระทบน้อย: ลดมาตรการกีดกันที่ไม่ใช่อัตราภาษี (Non-trade barriers)
ไทยลดอุปสรรคด้านสุขอนามัย ศุลกากร และขั้นตอนการรับรองสินค้าสหรัฐ เช่น การใช้ระบบ “post-clearance audit” (อนุญาตให้สินค้าผ่านด่านก่อนแล้วตรวจย้อนหลัง) เพื่อเร่งกระบวนการและลดภาระต้นทุนให้ผู้ส่งออกสหรัฐ
ไม่น่ามีผลลบ แต่อาจเป็นผลบวกเพราะทำให้สินค้าจากสหรัฐมีขบวนการทางภาษีที่รวดเร็วขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
3.ผลดี: ให้สหรัฐเข้าลงทุนใน EEC และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
ไทยเสนอบริการ fast-track พร้อมสิทธิประโยชน์ BOI (Board of Investment) แก่บริษัทอเมริกันใน 3 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่: พลังงานสะอาด, Semiconductor/ICT และโลจิสติกส์ เพื่อให้สหรัฐเห็นไทยเป็นศูนย์กลางการลงทุนในอาเซียน
ไทยจะได้เม็ดเงินลงทุน FDI มากขึ้นและอาจได้ภาคเทคโนโลยีที่ไทยล้าหลังเพื่อนบ้านมากด้วย
4.ผลกระทบเป็นกลาง: ซื้อพลังงานและอากาศยานจากบริษัทสหรัฐ
ภาครัฐและเอกชนไทยรวมกันเตรียมสั่งซื้อ LNG (ก๊าซธรรมชาติ) จากบริษัทสหรัฐ และ เครื่องบิน Boeing รุ่นใหม่ ซึ่งช่วยลดดุลการค้าของไทยที่เกินดุลสหรัฐต่อเนื่องมาหลายปี
ไทยต้องนำเข้าพลังงานมากขึ้นอยู่แล้วในอนาคต ทั้งน้ำมันดิบ และโดยเฉพาะ LNG เพราะคาดว่าการผลิตก๊าซในอ่าวไทยจะลดลงเองตามธรรมชาติจากหลุ่ม G1 เอราวัณและบงกช อีกทั้งการนำเข้าก๊าซจากพม่า (Yadana/Yetagun/Zawtika) และมาเลเซีย (MTJDA) จะลดลงตามธรรมชาติเช่นกัน
5.ลด “เกินดุลการค้า” กับสหรัฐ 70% ภายใน 5 ปี
ไทยเสนอ roadmap เพื่อลดดุลการค้ากับสหรัฐ (ที่ปัจจุบันเกินดุลกว่า $45b หรือ THB0.12tr ต่อปี) ให้เหลือเพียง 30% ภายในปี 2030 โดยเพิ่มการนำเข้าและดึงการลงทุนกลับเข้าสู่สมดุล
การลดเกินดุลโดยการนำเข้าสินค้าในข้อ 1-4 ผลกระทบต่อไทยน้อย
6.รับกติกา RVC ใหม่ (Rules of Origin)
ไทยยินยอมใช้ระบบตรวจสอบถิ่นกำเนิดสินค้าที่ยืดหยุ่นน้อยลง เพื่อป้องกันกรณี "สินค้าจีนอ้อมทางไทย" และสร้างความเชื่อมั่นว่าสินค้าไทยไม่ถูกใช้เป็นทางผ่านเพื่อหลบภาษี
การลดรายการสินค้าส่งออก “transshipment” โดยเฉพาะจากจีน แม้อาจทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าลดลงบ้างบางรายการ แต่จะเป็นผลดีกับไทย เพราะจะมีการบังคับใช้ชิ้นส่วน วัตถุดิบในไทยมากขึ้น เพื่อทำให้สินค้าที่จะส่งออกไปสหรัฐเป็นสินค้าไทย (มี local content > 50%)
7.ลดภาษีบริการดิจิทัล/คลาวด์จากสหรัฐ
ไทยเสนอเว้นภาษี 5% ชั่วคราวสำหรับบริการดิจิทัลของบริษัทสหรัฐ (เช่น AWS, Google Cloud) เป็นเวลา 2 ปี เพื่อเปิดประตูให้บริษัทเทคโนโลยีอเมริกันเข้ามาลงทุนและให้บริการในไทยมากขึ้น
ไทยอาจจะได้รับเงินลงทุนใน could/ data center/ และอาจรวม AI ด้วย แม้ต้องเสียรายได้ภาษีไปบ้าง
8.ขยายโควตานำเข้าพืชเกษตรจากสหรัฐ
ไทยยอมเพิ่มโควตานำเข้า 1) ข้าวโพด 2) ข้าวบาร์เลย์ และ 3) ถั่วเหลือง จากสหรัฐ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ในไทย และตอบแทนข้อเรียกร้องจากภาคเกษตรอเมริกัน
เป็นบวกกับไทย เพราะทั้งถั่วเหลืองและข้าวโพด ไทยปลูกไม่พอใช้ ต้องนำเข้า ส่วนข้าวบาร์เล่ย์ที่ใช้ทำเบียร์ ไทยปลูกไม่ได้/ได้น้อยไม่พอใช้อยู่แล้ว
9.กันสินค้ายุทธศาสตร์บางรายการไม่ให้ถูกบีบเปิดภาษี 0%
แม้ไทยจะเปิดภาษี 0% ส่วนใหญ่ แต่ยังคงภาษีเดิมไว้กับสินค้าสำคัญ เช่น “ข้าว น้ำตาล ผลไม้แปรรูป และอุตสาหกรรมอาหารที่ไทยมีความสามารถในการแข่งขันสูง” เพื่อปกป้องเกษตรกรและผู้ผลิตในประเทศ
ข้อนี้แม้ต้องลดภาษีนำเข้าลงบ้าง แต่หากไม่ถึงกับเป็น 0% รัฐบาลน่าจะสามารถออกมาตราการช่วยเหลือเกษตรกร ผู้ผลิตที่ได้รับผลกระทบได้ แต่ส่วนที่นำเข้ามา จะได้ในราคาที่ถูกกว่าการผลิตในประเทศ รัฐบาลไทยจึงน่าจะใช้โอกาสนี้ในการสางเสริม สนับสนุน หรือแม้กระทั่งบังคับให้เกษตกร/ผู้ผลิตเร่งพัฒนาการปลูก/ผลิตให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เพื่อแข่งขันได้กับตลาดโลก โดยเฉพาะสหรัฐที่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่มากของโลกในหลายๆ สินค้า เช่น เนื้อหมู
10.ปฏิบัติตามเงื่อนไขสงบศึกไทย-กัมพูชา
แม้จะไม่ได้ระบุอย่างเป็นทางการในข้อตกลง แต่การที่ไทยยอม “ลดความตึงเครียดชายแดน” ถูกมองว่าเป็นปัจจัยแฝงที่สหรัฐใช้ประกอบการตัดสินใจให้ลดภาษีตอบแทน
หากการปฏิบัติตามเงื่อนไข ไม่ได้มีเงื่อนไขใดซ่อนเร้นที่จะมีผลกระทบทำให้เกิดความขัดแย้ง/ความไม่พอใจต่อทั้งจีนและสหรัฐ ข้อนี้ก็อาจไม่น่ากังวลมาก ต้องติดตามกันต่อไป
สรุป: การเจรจาโดยรวม “น่าพอใจ”
ไทยยอมแลกด้วยในหลายๆ ด้าน
1) ทั้งเปิดตลาดให้สหรัฐมากขึ้น
2) ยกเว้นภาษีเกือบหมด
3) เขื้อเชิญให้มาลงทุน
4) เพิ่มการนำเข้า
5) ร่วมมือด้านความมั่นคง
โดยไทยแลกกับการที่ “ภาษีตอบแทน” ที่สหรัฐจะเก็บจากไทย ลดลงจาก 36% เหลือ 19%
เริ่มบังคับใช้วันที่ 1 สิงหาคม 2025
- เป็นการเจรจาดีลที่เกี่ยวข้องเฉพาะด้านการค้าและการลงทุน
- อัตราภาษีไทย 19% เท่ากับฟิลลิปปินส์ อินโดนีเซีย กัมพูชา มาเลเซีย แต่ต่ำกว่าเวียดนาม (20%) อินเดีย (25%) จีน
- ไม่มีเงื่อนไขตั้งฐานทัพสหรัฐในไทยตามที่เป็นกังวลกัน