SET เด้งแรง 20 จุด หลังศาล รธน. สั่ง “แพทองธาร” หยุดหน้าที่
จากประเด็นที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 9 ต่อ 0 ให้รับคำร้องและมีมติ 7 ต่อ 2 ให้นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร หยุดปฎิบัติหน้าที่ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป หลังประชุมพิจารณารับหรือไม่รับคำร้องถอดถอน น.ส.แพทองธาร จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กรณีคลิปเสียงสนทนากับ สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 18 มิ.ย.ที่ผ่านมา
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ รองกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินให้ นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร หยุดปฎิบัติหน้าที่ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2568 เป็นต้นไป
ขณะเดียวกันตลาดหุ้นไทยเปิดการซื้อขายภาคบ่ายวันนี้ 1 ก.ค. 68 บวกเกือบ 20 จุด พุ่งขึ้นมายืนเหนือระดับแนวต้านสำคัญที่เคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 1,100 จุดได้ หลังคำตัดสินทางการเมืองออกมานั้น มองว่าเป็นผลจากในช่วงที่ผ่านมาตลาดฯ ซึมซับข่าวเชิงลบต่อประเด็นทางการเมืองไปมากพอสมควรแล้ว และการแต่งตั้ง "สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ" ขึ้นเป็นรักษาการนายกรัฐมนตรี
ส่งผลให้นักลงทุนมองว่าอย่างน้อยในระยะ 2-3 เดือนจากนี้ไปจะยังไม่มีการยุบสภา หากอิงจากกรณีการตัดสินให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ในของยุค "เศรษฐา ทวีสิน" ที่ใช้ระยะเวลาประมาณ 3 เดือนก่อนจะพ้นตำแหน่ง หลังจากนี้ก็ต้องรอดูต่อไปว่าศาลรัฐธรรมนูญมีคำตัดสินให้ "แพทองธาร ชินวัตร" ต้องลาออกจากตำแหน่งหรือไม่
หากว่าคำสั่งออกมาต้อง "ลาออก" พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว ใครจะเป็นผู้เข้ามารับตำแหน่งนายกฯ คนต่อไป อย่างไรก็ดี มองว่าในช่วงไตรมาส 3/68 นี้จะเป็นช่วงของการเร่งเคาะเรื่องงบประมาณปี 69 ออกมา อย่างเร็วที่สุดเดือน ส.ค. และอย่างช้าที่สุดเดือน ก.ย. แต่ท้ายที่สุดแล้วจังหวะที่ต้องเสนองบประมาณก็อาจต้องรอให้มีนายกฯ ตัวจริงที่ชัดเจนก่อน
เจรจาสหรัฐฯ เจองานหิน
สำหรับการเจรจาเรื่องภาษีการค้ากับสหรัฐฯ ในวันที่ 3 ก.ค. นี้ โดยเน้นให้ทั้ง 2 ฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน ก่อนเริ่มใช้ reciprocal tarrif อีกครั้งในวันที่ 9 ก.ค. 68 หากการเจรจาระหว่างประเทศสหรัฐกับประเทศต่างๆ ล่าช้า คาดว่าจะมีการเลื่อนการประกาศเก็บภาษีออกไปอีก
มองว่าการเจรจาการค้ากับทางสหรัฐฯ ครม.2 ยังคงดำเนินการเจรจาได้ เพียงแต่ว่าขั้นสุดท้ายที่จะต้องมีการลงนามในพันธสัญญาที่มีผลผูกพันในระยะยาว ยังทำไม่ได้หากยังไม่มีนายกฯ ตัวจริง ซึ่งประเด็นนี้มองว่ารัฐบาลไทยอาจต้องเหนื่อยหน่อย
อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายประเมินว่าหากดัชนีสามารถยืนได้เหนือระดับ 1,120 จุด ได้ ก็มีโอกาสได้ไปต่อถึงระดับ 1,160 จุด ซึ่งจะทำให้บรรยากาศในการลงทุนจากนี้มีทิศทางที่สดใสขึ้น เห็นการกลับมาเก็งกำไรของนักลงทุน และดัชนีจะถึงจุดเปลี่ยนมาเป็นขาส่ง หรือการแกว่งออกข้าง (Sideway) แทน
ตลาดหุ้น Price In มากแล้ว
นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่า จากประเด็นศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องและให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ของ นายกฯ แพทองธาร ซึ่งเคสข้างต้นคล้ายๆ กับนายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในวันดังกล่าว SET INDEX ปิดลบ 0.1% และวันถัดมา +0.7%
ทางฝ่ายเชื่อว่ารอบนี้ตลาดก็ Price In ไปมากแล้วว่าศาลจะรับคำร้อง จึงมองเป็นกลางๆ ถึงบวกเล็กน้อยกับตลาด จากนี้รอติดตามศาลพิจารณาอีกครั้งว่านายกรัฐมนตรีจะหลุดจากตำแหน่งหรือไม่ หากอิงกับเคสของนายกฯ ตู่ในช่วงพักการปฎิบัติการจนถึงช่วงศาลกลับมาพิจารณาอีกครั้ง ใช้ระยะเวลาราว 1 เดือน (เคสของนายกตู่สามารถกลับมาเป็นนายกได้)
แต่หากเป็นเคสของนายกเศรษฐาพบว่า หลุดจากตำแหน่ง และ SET ปรับลง -0.4% และฟื้นตัวหลังจากนั้นเพราะได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่
ความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยวันนี้ 1 ก.ค.68 ณ เวลา 15.22 น. อยู่ที่ระดับ 1,104.41 จุด เพิ่มขึ้น 14.85 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 1.36% จากปิดตลาดก่อนหน้า ระหว่างวันดัชนีแกว่งตัวในกรอบสูงสุดและต่ำสุดที่ระดับ 1,109.12 - 1,086.56 จุด โดยมีมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 33,306.49 ล้านบาท