ผู้นำธนาคารพัฒนาหนุนสู้โลกร้อน UN ชี้ผู้หญิงเปราะบางมากที่สุด
ผู้นำของธนาคารพัฒนาระหว่างประเทศ (MDBs) สองแห่งในเอเชียและยุโรป ชี้ให้เห็นว่า ธนาคารพัฒนาพหุภาคีจำเป็นต้องมุ่งเน้นอย่างชัดเจนยิ่งขึ้นในการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศและการส่งเสริมบทบาทสตรี ท่ามกลางเสียงเรียกร้องให้ธนาคารเหล่านี้มีความกล้าหาญ ยืดหยุ่น และครอบคลุมมากขึ้น
นาเดีย คาลวิโน ประธานธนาคารเพื่อการลงทุนแห่งยุโรป (EIB) และ จิ้น ลี่ฉุน ประธานธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (AIIB) ให้สัมภาษณ์นอกรอบการประชุมสุดยอดว่าด้วยการระดมทุนเพื่อการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ ซึ่งจัดขึ้นทุก 10 ปี ที่เมืองเซบียา ประเทศสเปน
การประชุมครั้งนี้อยู่ภายใต้เงาของเสียงวิจารณ์ว่าขาดความทะเยอทะยาน และการที่สหรัฐ ซึ่งเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือต่างประเทศรายใหญ่ที่สุด ไม่เข้าร่วม หลังจาก ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาดำรงตำแหน่งเมื่อต้นปีนี้ ทรัมป์ยังได้ถอนสหรัฐฯ ออกจากความพยายามของสหประชาชาติในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และพยายามย้อนนโยบายด้านการมีส่วนร่วม ทำให้หลายบริษัทและสถาบันทั่วโลกไม่กล้าแสดงออกถึงการสนับสนุนความหลากหลายและความยั่งยืน
จิ้น ประธาน AIIB ระบุว่าเป็น พลังบวกที่ส่งเสริมนวัตกรรมและผลกระทบที่มากขึ้น โดยยังกล่าวว่า AIIB สนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานที่ มีความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ ภายใต้คำจำกัดความที่กว้างขึ้น ซึ่งรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล สุขภาพ และการศึกษา
ด้านคาลวิโน แห่ง EIB กล่าวว่า คำมั่นระดับสูงด้านสภาพภูมิอากาศต้องถูกแปลงให้เป็นการลงทุนและโครงการที่จับต้องได้ โดยยกตัวอย่างโครงการหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดเงื่อนไขหนี้ตามเหตุการณ์สภาพภูมิอากาศ ซึ่งช่วยให้ประเทศที่เปราะบางสามารถเลื่อนการชำระหนี้หลังเกิดภัยพิบัติ
ข้อตกลงเบื้องต้นก่อนการประชุม ซึ่งสมาชิกสหประชาชาติได้ตกลงร่วมกันนั้น รวมถึงคำมั่นที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการปล่อยกู้ของธนาคารพหุภาคีให้เพิ่มขึ้นถึงสามเท่า อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ระบุว่าสิ่งนี้ได้ล้ำเส้นแดงของตน เนื่องจากเป็นการแทรกแซงความเป็นอิสระของธนาคาร
เมื่อถูกถามถึงข้อเสนอของ ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ที่เรียกร้องธนาคารพหุภาคียอมสละอันดับเครดิตระดับสูงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายใหม่ จิ้นเสนอว่า สถาบันจัดอันดับเครดิตควรใช้มาตรฐานที่แตกต่างกับธนาคารพหุภาคี แทนที่จะใช้เกณฑ์เดียวกับธนาคารพาณิชย์หรือบริษัทเอกชน
คาลวิโนกล่าวว่าระบบปัจจุบันดำเนินไปได้ด้วยดี โดยอันดับเครดิตระดับ AAA ของ EIB ช่วยให้ธนาคารสามารถลงทุนในโครงการที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น และใช้การค้ำประกันจากสหภาพยุโรปเป็นเครื่องมือสนับสนุน
สหรัฐฯ ยังคัดค้านการใช้คำว่า “gender” ในเอกสารผลลัพธ์ของการประชุม โดยให้เหตุผลว่าไม่สนับสนุน “การให้สิทธิพิเศษตามเพศ”
คาลวิโน ซึ่งเป็นประธานหญิงคนแรกของ EIB กล่าวว่า การส่งเสริมบทบาทสตรีเป็น ทางเลือกที่ถูกต้องและฉลาดทางเศรษฐกิจ เป็นสิ่งที่ไม่ต้องลังเล ขณะที่จิ้นกล่าวว่า การส่งเสริมบทบาทสตรีเป็นกุญแจสำคัญในการตัดสินใจลงทุนของ AIIB โดยยกตัวอย่างโครงการถนนชนบทในไอวอรีโคสต์ ที่เชื่อมต่อเกษตรกรหญิงในหมู่บ้านห่างไกลกับตลาดหลัก เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ เช่น เม็ดมะม่วงหิมพานต์และกาแฟ
วิกฤตสภาพภูมิอากาศไม่ได้ส่งผลกระทบต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน
ผู้หญิงและเด็กหญิงต้องเผชิญกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในสัดส่วนที่ไม่สมดุล ส่วนใหญ่เป็นเพราะพวกเธอเป็นประชากรส่วนใหญ่ของกลุ่มคนยากจนทั่วโลก
ซึ่งพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่นอย่างมากเพื่อการดำรงชีพ โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ผู้หญิงและเด็กหญิงมักมีหน้าที่จัดหาอาหาร น้ำ และฟืนให้กับครอบครัว ในช่วงเวลาที่เกิดภัยแล้งและฝนตกไม่เป็นฤดูกาล ผู้หญิงในชนบทต้องทำงานหนักขึ้น เดินไกลขึ้น และใช้เวลามากขึ้นในการหาเงินและทรัพยากรให้กับครอบครัว สิ่งนี้ยังอาจทำให้เสี่ยงต่อความรุนแรงทางเพศมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซ้ำเติมความขัดแย้ง ความไม่เท่าเทียม และความเปราะบางที่มีอยู่เดิม
เมื่อเกิดภัยพิบัติจากสภาพอากาศรุนแรง ผู้หญิงและเด็กมีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตมากกว่าผู้ชายถึง 14 เท่า ส่วนใหญ่เป็นเพราะเข้าถึงข้อมูล การเคลื่อนย้าย การตัดสินใจ และทรัพยากรได้จำกัด
ประมาณว่า 4 ใน 5 ของผู้ที่ต้องพลัดถิ่นจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นผู้หญิงและเด็กหญิง
ภัยพิบัติที่รุนแรงยังอาจทำให้บริการที่จำเป็นหยุดชะงัก รวมถึงบริการด้านสุขภาพทางเพศและอนามัยเจริญพันธุ์ ซึ่งยิ่งทำให้ผลกระทบต่อผู้หญิงและเด็กหญิงรุนแรงขึ้นไปอีก
จากบทบาทที่ผู้หญิงอยู่แนวหน้าของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ผู้หญิงจึงอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง เพื่อช่วยหาวิธีลดสาเหตุของภาวะโลกร้อน และปรับตัวต่อผลกระทบที่เกิดขึ้นในพื้นที่จริง
ผู้หญิงเป็นผู้พิทักษ์สิ่งแวดล้อม
ผู้หญิงมีบทบาทในการผลิตอาหารของโลกครึ่งหนึ่ง ในประเทศกำลังพัฒนา พวกเธอผลิตอาหารถึง 80% ในฐานะเกษตรกร ผู้หญิงได้เรียนรู้วิธีรับมือและปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น การทำเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนที่สอดคล้องกับธรรมชาติ การเปลี่ยนไปใช้เมล็ดพันธุ์ที่ทนแล้ง การจัดการดินแบบอินทรีย์หรือผลกระทบต่ำ หรือการเป็นผู้นำในการฟื้นฟูป่าไม้และระบบนิเวศในระดับชุมชน
ผู้หญิงในกลุ่มชนพื้นเมืองอยู่แนวหน้าของการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พวกเธอนำความรู้และแนวทางปฏิบัติจากบรรพบุรุษที่ทรงคุณค่า ซึ่งช่วยสร้างความยืดหยุ่นในสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง เช่น การอนุรักษ์ความหลากหลายของพืชและเมล็ดพันธุ์ การปกป้องแมลงผสมเกสรและประชากรผึ้งในท้องถิ่น การใช้วิธีฟื้นฟูและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินตามธรรมชาติ หรือการไม่ตัดไม้ทำลายป่า
แต่ผู้หญิงกลับมีการเข้าถึงทรัพยากรหลากหลายประเภทได้น้อยกว่า ตั้งแต่สิทธิในที่ดินและเงินทุน ไปจนถึงการศึกษาและเทคโนโลยี หากผู้หญิงสามารถเข้าถึงทรัพยากรการผลิตได้เทียบเท่ากับผู้ชาย ผลผลิตทางเกษตรอาจเพิ่มขึ้น 20–30% ซึ่งสามารถเลี้ยงคนได้เพิ่มอีก 100 ถึง 150 ล้านคน สิ่งนี้จะช่วยลดแรงกดดันในการตัดไม้เพื่อขยายพื้นที่การเกษตร ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่เร่งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัจจุบัน มากกว่าครึ่งของการสูญเสียพื้นที่ป่าเกิดจากการแปรสภาพเป็นพื้นที่เกษตร
ผู้หญิงคือแกนหลักของความยืดหยุ่น
ผู้หญิงทำงานบ้านและดูแลครอบครัวโดยไม่ได้รับค่าจ้างมากกว่าผู้ชายอย่างน้อย 2.5 เท่า
เมื่อเกิดภัยพิบัติทางสภาพอากาศ เช่น น้ำท่วม ไฟป่า ภัยแล้ง และพายุ ผู้หญิงจะต้องรับภาระเพิ่มเติม
เนื่องจากโดยปกติผู้หญิงมีหน้าที่หลักในการดูแลบ้านและผู้คนในบ้าน พวกเธอมักเป็นผู้ตอบสนองเบื้องต้นเมื่อเกิดภัยพิบัติ ช่วยเหลือเด็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และสมาชิกคนอื่น ๆ ในชุมชน พร้อมทั้งแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและทีมฉุกเฉิน
หลังเกิดภัยพิบัติ ผู้หญิงมักเป็นผู้ดูแลผู้ป่วยและผู้บาดเจ็บ ให้การสนับสนุนครอบครัว และช่วยฟื้นฟูและสร้างชุมชนขึ้นใหม่
แม้ผู้หญิงจะได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติอย่างไม่สมส่วน และมีบทบาทนำในการฟื้นตัวหลังภัยพิบัติ แต่พวกเธอกลับถูกกีดกันไม่ให้มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย ยุทธศาสตร์ และโครงการที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงและความยืดหยุ่นจากภัยพิบัติ
การให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในกระบวนการตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการฟื้นตัวและการสร้างใหม่ การใช้ศักยภาพ ความรู้ และทักษะของผู้หญิงอย่างเต็มที่ในช่วงก่อนและหลังภัยพิบัติ สามารถช่วยระบุความเสี่ยงจากภัยพิบัติ และสร้างความมั่นคงให้แก่ครอบครัวและชุมชน
ผู้หญิงคือผู้นำการเปลี่ยนแปลง
ผู้หญิงและเด็กหญิง รวมถึงนักเรียน แม่ ชนพื้นเมือง และคนดัง ได้เป็นผู้นำในการเคลื่อนไหวด้านสภาพภูมิอากาศทั้งในระดับโลกและระดับประเทศ ซึ่งช่วยส่องสปอตไลต์ไปยังความเร่งด่วนของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และความจำเป็นในการดำเนินการเพื่อคนรุ่นนี้และรุ่นต่อไป
ผู้หญิงยังมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในฐานะผู้บริโภค คนทำงาน ผู้นำทางการเมือง และผู้นำทางธุรกิจ
ในสังคมที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูงกว่า ผู้หญิงเป็นผู้ตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการถึง 70–80% ของทั้งหมด ซึ่งมีบทบาทนำในการเปลี่ยนไปสู่ไลฟ์สไตล์ที่ยั่งยืนมากขึ้น ผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะรีไซเคิล ลดของเสีย ซื้ออาหารออร์แกนิกหรือผลิตภัณฑ์ที่มีฉลากสิ่งแวดล้อม และประหยัดน้ำและพลังงานในครัวเรือน ด้วยการนำพาการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและทัศนคติของผู้บริโภค ผู้หญิงสามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในทุกภาคส่วน
ในระดับการเมือง งานวิจัยแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนระหว่างภาวะผู้นำของผู้หญิงกับการดำเนินการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ ตัวอย่างเช่น งานวิจัยพบว่าประเทศที่มีสัดส่วนผู้หญิงในรัฐสภาสูงกว่ามีแนวโน้มที่จะให้สัตยาบันสนธิสัญญาด้านสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ และมีกฎหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่เข้มงวดกว่า
ในภาคธุรกิจ บริษัทที่มีความหลากหลายทางเพศมีแนวโน้มที่จะรายงานข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและบริหารจัดการด้านสภาพภูมิอากาศได้ดีกว่าคู่แข่ง และลงทุนในพลังงานหมุนเวียนและการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงานมากกว่า
ผู้หญิงยังมีบทบาทเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในภาคพลังงานหมุนเวียน โดยปัจจุบันผู้หญิงคิดเป็น 40% ของพนักงานในอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งสูงกว่าภาคน้ำมันและก๊าซที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 22%
อ้างอิงข้อมูล
- un.org
- reuters