โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

'กาดหล่ายต้า'เป็นมากกว่าตลาดนัด พลังอาหารพื้นถิ่นสร้างคุณค่ายั่งยืน

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 23 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 8 ชั่วโมงที่ผ่านมา

กาดหล่ายต้า (Lai Ta Market)มาจากคำว่า “กาด” หมายถึง ตลาด “หล่ายต้า” เป็นคำที่ไว้ใช้เรียกชุมชนที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันระหว่างลำน้ำ เป็นตลาดชุมชนที่ตั้งอยู่บริเวณลำน้ำแม่ต๋ำ ตำบลแม่ต๋ำ อำเภอเมือง จังหวัดพะเยา เปิดให้บริการทุกวันพุธ เวลา 16.00-18.30 น.โดดเด่นด้วยอาหารพื้นเมืองและผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นเเล้วยังสะท้อนวิถีชีวิตและวัฒนธรรมความเป็นอยู่ดั้งเดิมของชุมชนที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันระหว่างลำน้ำอีกด้วย

จัดกิจกรรม “กาดแลงหล่ายต้า” อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งเป็นตลาดวัฒนธรรมสร้างสรรค์ที่นำทุนทางวัฒนธรรมมาผสานกับแนวคิดเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ ส่งผลให้สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนได้อย่างเป็นรูปธรรม จุดเด่นของกาดหล่ายต้าคืออาหารพื้นเมืองการแปรรูปอาหารรวมถึงผลิตภัณฑ์ชุมชนต่างๆ.นอกจากนี้ยังมีมุมถ่ายรูปสวยๆริมลำน้ำและกิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

คนยุคใหม่ ไม่แคร์เงิน! งานมีค่า องค์กรต้องเปย์ใจ ลงทุนคน

เปลี่ยน ‘เหมืองร้าง’ เป็น ‘โซลาร์ฟาร์ม’ มุ่งสู่พลังงานสะอาด ช่วยฟื้นฟูที่ดิน

กาดหล่ายต้า หรือ Lai Ta Market เป็นตลาดที่เน้นย่านเศรษฐกิจวัฒนธรรมสร้างสรรค์.ภายในตลาดมีอาหารมื้อเย็นอาหารทานเล่นโบราณ เช่น ขนมหน้าต่าง, ยำมะม่วงโบราณ, ขนมจอก, ข้าวต้มมัด และอื่นๆ อีกมากมาย. นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ชุมชนอื่นๆ เช่น งานจักสาน งานทอผ้า เครื่องมือประมงและล้อเกวียนโบราณ.ตลาดนี้ยังเป็นแหล่งเรียนรู้และมีร้านค้าต่างๆ เช่น ร้านนวด ร้านกาแฟ และร้านอาหาร.โดยในแต่ละครั้งของการจัดงานมีรายได้จากการจำหน่ายสินค้าเฉลี่ยประมาณ 25,000 บาท และมีผู้ประกอบการในชุมชนกว่า 40-60 ครัวเรือนเข้าร่วม

“ลำดวน ฝีปากดี” ประธานประชาคมกาดหล่ายต้า (ย่านแม่ต๋ำเศรษฐกิจวัฒนธรรมสร้างสรรค์) เล่าว่ากาดหล่ายต้า ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านภูมิปัญญาท้องถิ่นที่สำคัญของจังหวัดพะเยา โดยเปิดพื้นที่ให้กับนักเรียน นิสิต นักศึกษา หน่วยงานภาครัฐและเอกชน เข้ามาเรียนรู้ แลกเปลี่ยน และศึกษาดูงานเป็นประจำ โดยมีการจัดการในรูปแบบภาคประชาสังคม ภายใต้ชื่อ “ประชาคมกาดหล่ายต้า” ซึ่งสังกัดอยู่ในกลุ่มวิสาหกิจชุมชนระเบียงวัฒนธรรมกว๊านพะเยา

ผู้ที่ไปเยี่ยมชมจะพลาดไม่ได้กับ เมนู “ยำมะม่วงหนังหมูมะพร้าวคั่ว” ข้าวต้มหัวหงอก ไวน์น้ำผึ้ง The Mae Nai's Winery ซึ่งล้วนแต่เป็นอัตลักษณ์ของอาหารดั้งเดิม อาหารพื้นถิ่นที่มีรสชาติ เรื่องราว วัฒนธรรมและภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมา รวมทั้งพืชผักที่ปลอดสารพิษอีกจำนวนมากที่ชาวบ้านนำมาจำหน่าย เป็นการสร้างโอกาสให้กับอาหารท้องถิ่นก้าวสู่ตลาดที่กว้างขึ้นได้

จุดประกายจากฝีมือและความรู้เก่าแก่

ประธานประชาคมกาดหล่ายต้า เล่าว่า “กาดหล่ายต้า” เป็นศูนย์รวมของเรื่องราว อาหารพื้นถิ่น และภูมิปัญญาที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น สร้างทั้งรายได้และความภาคภูมิใจให้กับชุมชนแห่งนี้ เพราะเริ่มต้นขึ้นจากจุดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ของคนในชุมชนนั่นคือ ความสามารถในการทำอาหารอร่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงวัยในชุมชนที่มีองค์ความรู้และประสบการณ์ หลายครัวเรือนในชุมชนได้ทำอาหารไปขายตามตลาดต่างๆ เช่น ตลาดแม่ต่ำหรือตลาดแม่ทองคำอยู่แล้ว การรวมตัวกันเป็นตลาดจึงถูกผลักดันขึ้น เพื่อให้คนภายนอกสามารถเข้าถึงอาหารอร่อยและเป็นเอกลักษณ์ของชุมชนได้ง่ายขึ้น

เคยเปิดตัวในรูปแบบของงานอีเวนต์ที่มีธีมและเครื่องแต่งกายที่น่าตื่นตาตื่นใจ เช่น ญี่ปุ่นในความทรงจำ” (Arigato Laitai Japan in Memory) ในเดือนธันวาคม 2564 ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากร่องรอยประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ในพื้นที่ ที่ทหารญี่ปุ่นเคยมาพักและใช้น้ำจากบ่อน้ำในลักษณะคล้ายออนเซ็น “เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ กาดหล่ายต้า ไชน่าทาวน์” (Godfather Shanghai Garlaitai Chinatown) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งมีการบูรณาการความร่วมมือกับหอการค้าจังหวัดพะเยาเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว

อย่างไรก็ตาม ด้วยต้นทุนและกำลังคนที่ต้องใช้มหาศาลในการจัดงานอีเวนต์แต่ละครั้ง กาดหล่ายต้า จึงได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบมาเป็นการจัดตลาดทุกวันพุธโดยไม่มีธีม เพื่อให้สามารถดำเนินการได้อย่างยั่งยืน การเลือกวันพุธก็เป็นไปเพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันกับกิจกรรมในตัวเมืองพะเยา โดยเฉพาะกว๊านพะเยา ซึ่งเปรียบเสมือนห้องรับแขกของจังหวัดและมีการจัดงานเกือบทุกวัน

"ตลาดแห่งนี้สร้างรายได้รวมเฉลี่ย 25,000 บาทต่อครั้งต่อสัปดาห์ ให้กับชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ประกอบการท้องถิ่น เช่น “ยายนิ่ม” เจ้าของสูตร “ห่อนึ่งไก่ไร้กระดูกตํารับ 80 ปี” ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นทั้งจากการขายในตลาดและช่องทางออนไลน์ สูตรของยายนิ่มนี้สืบทอดมาจากแม่ของยายนิ่มที่คิดค้นขึ้นเมื่อ 80 ปีที่แล้ว เพื่อถนอมเนื้อไก่ในยุคที่ยังไม่มีตู้เย็น หรือ “ยำมะม่วงหนังหมูมะพร้าวคั่ว อาหารประจำถิ่นที่มีชื่อเสีรยงและผักปลอดสารพิษที่เป็นเอกลักษณ์ของพื้นถิ่น ทั้งหมดนี้คือเสน่ห์ที่สร้างรายได้ให้กับชาวบ้านกาดหล่ายต้า"

นอกจากนี้ยังได้รับการสนับสนุนจากโครงการ U2T ของรัฐบาลและความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยพะเยา มีการนำผลิตภัณฑ์เด่นของตลาดไปพัฒนาเพิ่มมูลค่า เช่น “เนื้อย่าง” ที่ได้รับการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สุญญากาศและแช่แข็ง และได้รับรางวัลอันดับ 2 ในการประกวด จัดทำคู่มือสำหรับผลิตภัณฑ์เด่น 3 ชนิด รวมถึงน้ำพริกลาบและห่อนึ่งไก่ เพื่อรักษาสูตรอาหารพื้นถิ่นไม่ให้สูญหาย และเตรียมพร้อมสำหรับการขยายผล จ้างงานคนในชุมชนและบัณฑิตจบใหม่ เพื่อมาช่วยในด้านไอทีและเพิ่มช่องทางการตลาดผ่านสื่อออนไลน์ ทำให้ผลิตภัณฑ์ของชุมชนเข้าถึงผู้บริโภคได้กว้างขึ้น

"กาดหล่ายต้าจึงเป็นมากกว่าตลาดนัด แต่เป็น “ชุมชนแห่งการแบ่งปัน” ที่แสดงให้เห็นถึงพลังอันแข็งแกร่งของอาหารพื้นถิ่นในการสร้างความยั่งยืนให้กับวิถีชีวิต และเป็นแบบอย่างของการใช้ภูมิปัญญาดั้งเดิมมาต่อยอดสร้างคุณค่าในยุคปัจจุบัน"

ดร.จารุวรรณ โปษยานนท์ ผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยพะเยา และ ดร.อัษฎากรณ์ ฉัตรานันท์ ที่ชาวบ้านเรียกว่า หนานเอี่ยว ประธานวิสาหกิจชุมชนกาดหล่ายต้า ช่วยกันเล่าว่าหัวใจของ “กาดหล่ายต้า”คือคนในชุมชนที่มองเห็นภาพตรงกันว่าเรื่องราวต่างๆของพวกเขาและอัตลักษณ์ของอาหารดั้งเดิม อาหารพื้นถิ่นที่มีรสชาติเรื่องราววัฒนธรรมและภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาเหล่านั้นเป็นเสน่ห์ของชุมชนที่สามารถนำมาสร้างสรรค์ให้เกิดเป็นพื้นที่เศรษฐกิจสร้างรายได้ เป็นแหล่งเรียนรู้ พื้นที่เศรษฐกิจอย่างยั่งยืนได้ จึงเกิดเป็น “กาดหล่ายต้า”ได่ดังเช่นที่เห็นในวันนี้

โอกาสของคนรุ่นใหม่ในวิกฤติ

หนานเอี่ยว ประธานวิสาหกิจชุมชนกาดหล่ายต้า เล่าว่า ตลาดชุมชนแห่งเป็นต้นแบบแห่ง ความยั่งยืนจากการมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันของคนในชุมชน ตั้งแต่ผู้สูงอายุไปจนถึงคนรุ่นใหม่ ผู้สูงอายุที่ได้มาพูดคุยกันเพียงสัปดาห์ละครั้ง แสดงให้เห็นถึงการให้คุณค่ากับมิติทางสังคมและการเยียวยาจิตใจในชุมชน คนรุ่นใหม่ที่เคยไปใช้ชีวิตในเมืองหลวง เช่น ผู้ที่จบจากธรรมศาสตร์และลาดกระบัง ได้กลับมายังบ้านเกิดและมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนชุมชน ทำให้เกิดการ ส่งต่อองค์ความรู้และวิถีชีวิต จากคนรุ่นเก่าสู่คนรุ่นใหม่อย่างกลมกลืนและยั่งยืน

"ทุกสิ่งทุกอย่างในพื้นที่ที่เชื่อมโยงกับโครงการนี้ล้วนแต่เป็น “ออร์แกนิก” ทั้งสิ้น เช่น ผักอินทรีย์ หลากหลายชนิด ที่ปลูกต่อเนื่องมานานกว่า 60 ปี หรืออาหารพื้นบ้านดั้งเดิมจาก “ร้านริมน้ำ” อย่าง “ไก่นึ่งสมุนไพร” ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยากและแสดงถึงการอนุรักษ์อาหารท้องถิ่น สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดจาก คนในชุมชนช่วยกันทำอาหาร และรักษามาตรฐานความเป็นออร์แกนิก สะท้อนถึงการใส่ใจในสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืนร่วมกัน"

ศูนย์กลางการเรียนรู้และขับเคลื่อนตนเอง

ดร.จารุวรรณ กล่าวเสริมว่า พื้นที่แห่งนี้ถูกกำหนดให้เป็น “เลิร์นนิ่งสเปซทางด้านวัฒนธรรม” และ “เลิร์นนิ่งสเปซชุมชน” ที่เปิดรับผู้คนทุกช่วงวัย ตั้งแต่เด็กอนุบาล นักเรียน พระสงฆ์ ไปจนถึงชุมชนอื่นๆ ให้เข้ามาเรียนรู้และสัมผัสวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม โดยเฉพาะเรื่องอาหารที่เคยหายไป ทำหน้าที่เป็นแหล่ง สืบทอดความรู้ และอนุรักษ์สิ่งดีงาม โครงการยังส่งเสริมให้ชุมชนเป็น “ออแกไนเซอร์” ในการจัดงานอีเวนต์ต่างๆ ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาคนนอก เป็น “ความยั่งยืน” ไม่ใช่แค่ในเชิงเศรษฐกิจ แต่รวมถึงสุขภาพของคนในพื้นที่และความมั่นคงของชุมชนเอง

"สวทช.(สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ )ได้นำโมเดล นี้ไปขยายผลใช้เป็น “ทุนวิจัยเชิงพื้นที่” ภายใต้ สกสว. (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม)และมีมหาวิทยาลัยกว่าร้อยแห่งทั่วประเทศนำไปใช้ในชื่อ PMU หรือ PTH ทางด้านวัฒนธรรมไทย นำไปต่อยอดในระดับชาติและงานวิจัยอย่างเป็นรูปธรรม จากรากฐานที่แข็งแกร่งของชุมชน การส่งต่อองค์ความรู้ระหว่างรุ่น และการเชื่อมโยงกับหน่วยงานวิจัยระดับชาติ ทำให้ตลาดชุมชนแห่งนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ ความยั่งยืน ที่เกิดจากการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของคนในพื้นที่ พร้อมเป็นแรงบันดาลใจให้กับการฟื้นฟูวิถีชีวิตดั้งเดิมในยุคปัจจุบัน"

ในส่วนมหาวิทยาลัยพะเยาได้ทำโครงการวิจัยชุมชนนวัตกรรมการบริการด้านวัฒนธรรม พัฒนาแพลตฟอร์มการเรียนรู้และนวัตกรรมด้านบริการทางวัฒนธรรม (Learning and Innovation Platform) ให้กับชุมชนกาดหล่ายต้า ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มวิสาหกิจชุมชนระเบียงวัฒนธรรมกว๊านพะเยา โดยใช้งานวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (Participatory Action Research) ระหว่างมหาวิทยาลัยพะเยา กลุ่มผู้ประกอบการด้านอาหารพื้นถิ่น และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

เพื่อให้การบริหารจัดการพื้นที่วัฒนธรรมของชุมชนมีมาตรฐาน มีศักยภาพ และสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้ได้อย่างยั่งยืนพัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมให้มีความร่วมสมัยและตอบโจทย์การท่องเที่ยววิถีใหม่ สอดคล้องกับนโยบายในการพัฒนาพื้นที่แบบ Area-based โดยเน้นการบูรณาการพันธกิจทั้งการผลิตบัณฑิต การวิจัย การบริการวิชาการ และการทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม ตามแนวทางโมเดลเศรษฐกิจ BCG เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานรากของจังหวัดพะเยาให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

“เมื่อคนในชุมชนเห็นภาพเดียวกันความร่วมมือก็เกิดขึ้นเป็นพื้นที่เศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ที่พวกเขาทุกคนร่วมกันเป็นเจ้าของได้ที่เป็นแหล่งสร้างรายได้ของครอบครัวได้อีกด้วย ซึ่งจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมฐานรากของจังหวัดพะเยาให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน” ดร.จารุวรรณ กล่าวทิ้งท้าย

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก กรุงเทพธุรกิจ

ต่างชาติวิเคราะห์ 'อุ๊งอิ๊ง' จ่อพ้นตำแหน่ง ถึงเลือกตั้งใหม่ ทหารก็จะขัดขวางฝ่ายค้าน

18 นาทีที่แล้ว

“จตุพร” ควง “สุชาติ” ประเดิม งานแรก ลุยนครศรีธรรมราช แก้ปัญหาราคามังคุด

20 นาทีที่แล้ว

NIA เปิดงานมหกรรมนวัตกรรม และเครือข่ายสตาร์ตอัป ‘SITE 2025’

26 นาทีที่แล้ว

'ณัฐพงษ์' ย้ำจุดยืน ปชน. ปัดเล็งใครเป็นพิเศษ ดันนั่งนายกฯ

30 นาทีที่แล้ว

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

Condé Nast ประกาศรับสมัครตำแหน่งของ Anna Wintour ที่ Vogue อเมริกาบน LinkedIn

THE STANDARD

เจแอนด์ที เอ็กซ์เพรส ผนึกกำลังกรมป่าไม้ ฟื้นฟูป่าอย่างยั่งยืน สานต่อโครงการ J&T Forest

GM Live

เปิดใจนักวาดการ์ตูน The Future I Saw ญี่ปุ่นลุ้นระส่ำแผ่นดินไหว 5 ก.ค.

Amarin TV

น้องหมาเห่าเกิดจากอะไร พร้อมวิธีฝึกให้น้องหมาเห่าน้อยลง

sanook.com

Cinematic Experience - คุณค่าประสบการณ์ ที่โรงหนังให้ได้ - แต่สตรีมมิ่งให้ไม่ได้

SpringNews

“En Cafe” คาเฟสไตล์คิสสะเต็น กลางตรอกมะยม ถนนข้าวสาร

Manager Online

เคลียร์ดราม่า 'หนิง ปัทมา' สละมง MUT สานต่อความฝัน 'นักร้อง'

PostToday

แอน ทองประสม เปิดตัวเป็น ‘มาสเตอร์เมนเทอร์’ The Face Thailand 6 จับตาเอพิโสดแรก 19 ก.ค. นี้

THE STANDARD

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...