ไทยแลกอะไรบ้าง ถึงได้ดีลภาษี 19% ล้วงเบื้องลึกจาก ‘พิชัย ชุณหวชิร’ แม่ทัพทีมไทยแลนด์
พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และหัวหน้าเจรจาของทีมไทยแลนด์ ได้เปิดเผยถึงรายละเอียด รวมไปถึงเบื้องลึก และเบื้องหลัง ดีลภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ที่ไทยได้อัตรา 19%
ไทยยอมเปิดตลาด (Market Access) เท่าไร?
พิชัยยืนยันว่า ไทยไม่ได้เปิดตลาดให้สหรัฐฯ ทุกรายการ หรือที่เรียกว่า ‘Total Access’ และสำหรับการลดอัตราภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ สู่ระดับ 0% จะพิจารณาจากรายการสินค้าที่ไทย ‘มีความพร้อม’ และเคยให้ 0% ในข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศอื่นๆ ก่อนหน้านี้ เช่น จีน และออสเตรเลีย
โดยรมว.คลังยังยืนยันว่า การพิจารณาเปิดตลาดรอบนี้จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนไทย เพราะจะทำให้ราคาสินค้าถูกลง
“การยึดหลักนี้ (ลดภาษีนำเข้าให้เหลือ 0% ตามรายการสินค้าที่ไทยเคยทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศอื่นๆ) อาจทำให้บางประเทศเหล่านี้จะลำบาก เพราะจะมีสินค้าสหรัฐฯ เข้ามาแข่งขัน แต่ประชาชนไทยจะได้ประโยชน์จากราคาสินค้าที่ถูกลง”
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ พิชัยเคยให้สัมภาษณ์ว่า ไทยได้พยายามทำข้อเสนอ (Proposal) ให้โดยเตรียมจะเปิดตลาดให้สหรัฐฯ พร้อมเสนอยกเว้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เข้าประเทศไทย และอัตราภาษีใกล้ๆ 0% คิดเป็นระดับเกือบ 90% ของมูลค่าสินค้าที่สหรัฐฯ ส่งมาไทย กระนั้นในวันนี้ พิชัยไม่ได้ยืนยันตัวเลขดังกล่าว
เปิด 3 หลักเกณฑ์พิจารณาเปิดตลาด (Market Access) ของทีมไทยแลนด์
เช้าวันนี้ (1 สิงหาคม) พิชัยยังเปิดในรายการ ‘กรรมกรข่าว คุยนอกจอ’ โดยระบุว่า ไทยมีการแบ่งกลุ่มสินค้าที่จะเปิดตลาดเป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. สินค้าที่ไทยผลิตไม่ได้: ซึ่งไม่เป็นปัญหาหรือกระทบต่อผู้ประกอบการในไทย จึงสามารถเปิดตลาดได้เต็มที่ ยกตัวอย่างเช่น เชอร์รี ซึ่งส่วนนี้ไทยมีการนำเข้าจากออสเตรเลีย และจีนก่อนแล้ว
2. สินค้าที่ไม่มากพอต่อความต้องการในประเทศ: เช่น ข้าวโพด หรือถั่วเหลือง สินค้ากลุ่มนี้จะมีการกำหนดโควตานำเข้า หรืออาจขอเวลาเปลี่ยนผ่าน 3-5 ปี และอาจกำหนดให้มีการรับซื้อสินค้าจากผู้ผลิตไทยก่อน แล้วจัดสรรการรับซื้อจากต่างประเทศ โดยพิชัยชี้ว่า ไทยจะสามารถเพิ่มความเข้มงวดในการนำเข้าข้าวโพดจากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง กัมพูชา เมียนมา ลาวได้ โดยอาจประกาศไม่รับซื้อสินค้าเกษตรที่มีการเผาในขั้นตอนเกษตรกรรม ซึ่งส่วนนี้จะช่วยลดปัญหามลพิษฝุ่น PM 2.5 ได้อีกต่อ
3. สินค้าที่สหรัฐฯ ผลิตไม่ได้/แข่งขันกับไทยไม่ได้: เช่น ลำไย ซึ่งสหรัฐฯ ไม่มีการเพาะปลูกอยู่แล้ว กับปลานิล ที่แม้สหรัฐฯ จะผลิตได้บ้าง แต่ขีดความสามารถในการแข่งขันก็ยังด้อยกว่าไทย รวมถึงต้นทุนในการส่งออกข้ามทวีปจะยิ่งทำให้ปลานิลสหรัฐฯ มีต้นทุนสูงเกินจำเป็น
เปิดรายการสินค้าที่ทีมไทยแลนด์ ‘ปกป้อง’
อย่างไรก็ตาม พิชัย ยืนยันว่า สินค้าที่ไทยผลิตได้เพียงพอต่อความต้องการในประเทศ “จะไม่มีการเปิดตลาดให้ หรือถ้าหากเปิดก็เป็นสัดส่วนที่น้อยมากในอัตราไม่เกิน 1%” เช่น เนื้อหมู และเครื่องในหมู
“สำหรับการนำเข้าเนื้อหมู จะเปิดโควตาให้น้อยมากไม่ถึง 1% ของการบริโภคในประเทศ เพื่อให้สหรัฐทดลองตลาดเท่านั้น และมีกฎระเบียบที่เข้มงวด เช่น ต้องมีการตรวจสอบโรงงานและสารเร่งเนื้อแดง เพื่อไม่ให้กระทบต่อราคาในประเทศ ขณะที่ถั่วเหลือง และข้าวโพด อาจมีการนำเข้าประมาณ 1-2 ล้านตัน” พิชัยกล่าว
เล็งควบคุมสินค้าที่มี Local Content ต่ำ เลี่ยงอัตรา Transshipment 40%
สำหรับประเด็นเรื่องปัญหาสินค้าผ่านทาง (Transshipment) ที่สหรัฐฯ ประกาศว่า ประเทศที่ถูกจับได้ว่าปลอมแปลงแหล่งกำเนิดสินค้าเพื่อเลี่ยงภาษี จะต้องเสียภาษีเพิ่มเติมในอัตราสูงถึง 40%
พิชัยยืนยันว่า สหรัฐฯ ยังไม่มีการลงรายละเอียดว่า จะต้องกำหนด Local Content ในสัดส่วนกี่เปอร์เซ็นต์ ซึ่งพิชัยคาดว่าไม่น่าต่ำกว่า 40%
นอกจากนี้ พิชัยยังยืนยันว่า สินค้าที่ทะลักเข้ามาในประเทศไทย หากเป็นสินค้าราคาถูกแต่ไม่ได้มาตรฐาน หรือเป็นสินค้าที่มี Local Content ต่ำ จะเป็นประเด็นที่ไทย ‘ต้องควบคุมดูแลอยู่แล้ว ต่อให้ไม่มีภาษีทรัมป์มากดดัน’ ก็ตาม
เปิดรายการสินค้าที่ไทยต้องซื้อจากสหรัฐฯ เพิ่ม: LNG 1 ล้านตัน เครื่องบิน 90 ลำ
ภายใต้ดีลครั้งนี้ พิชัยกล่าวว่า ไทยได้ทำสัญญาซื้อก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐฯ ฉบับแรกไว้ที่จำนวน 1 ล้านตัน ซึ่งปัจจุบัน ไทยนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลวอยู่ที่ 15 ล้านตัน คิดเป็นสัดส่วน 50% ของปริมาณทั้งหมดในประเทศ รวมถึงการซื้อเครื่องบินโบอิ้ง พิชัยกล่าวว่า จะมีการทยอยนำเข้าเครื่องบินราว 80-90 ลำ ตลอด 10 ปีข้างหน้า
ส่วนน้ำมันยังไม่มีการตกลงใดๆ กับทางสหรัฐฯ ซึ่งพิชัยกล่าวว่า อาจพิจารณาเพิ่มการนำเข้าน้ำมันจากสหรัฐฯ ให้ได้สัดส่วน 10% ของการนำเข้าทั้งหมด
“เป็นโอกาสดีที่สหรัฐฯ และไทยต่างมีความต้องการร่วมกันสำหรับสินค้าใน 2 ประเภท ได้แก่ พลังงานและเครื่องบิน” พิชัยกล่าว
ไทยยังไม่ต้องลงทุนเพิ่มในสหรัฐฯ
สำหรับข้อเสนอเพิ่มการลงทุนไปสหรัฐฯ พิชัยกล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่มีข้อตกลงอย่างเป็นทางการเกิดขึ้น แต่ไทยก็พร้อมที่จะเพิ่มการลงทุนในโรงงานแปรรูปสินค้าเกษตรที่สหรัฐฯ มากขึ้น
“หากมีข้อเสนอตามมาภายหลัง ซึ่งแม้อาจมีมูลค่าไม่มากนัก เมื่อเทียบกับสินค้าอุตสาหกรรมอื่นๆ แต่ก็เป็นตัวเลขที่มากพอ เมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจในประเทศ” พิชัยกล่าว
NTBs ต้องแก้ แม้ไม่มีภาษีทรัมป์
สำหรับอุปสรรคกีดกันการค้าอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษี (Non-Tariff Barrier) หรือ NTBs ที่ได้หารือลงละเอียดกับทางสหรัฐฯ เพื่อแก้ไขกฎระเบียบตามที่สหรัฐฯ ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเอกสาร หรือขั้นตอนรับรองมาตรฐานสินค้าที่ล่าช้า
พิชัยกล่าวว่าเป็นโอกาสดีสำหรับไทย เพราะเป็นปัญหาที่ไทยต้องเร่งแก้ไขอยู่แล้วเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ต่อให้ไม่มีการกดดันจากสหรัฐฯ ก็ตาม โดยอาจยกระดับเพิ่มการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อช่วยให้ขั้นตอนต่างๆ สะดวกมากขึ้น
ทั้งนี้ พิชัยย้ำว่าไม่มีประเด็นด้านความมั่นคง และการให้สัมปทานแก่สหรัฐฯ ในขั้นตอนการเจรจาการค้า
ย้ำ 19% ช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันได้
โดยพิชัยยังระบุว่า การประกาศ Tariff rate ที่ 19% สะท้อนถึงมิตรภาพและความเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นระหว่างไทย–สหรัฐฯ ช่วยให้ไทยยังคงแข่งขันได้ในเวทีโลก สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน และเปิดประตูสู่การขยายตัวทางเศรษฐกิจ รายได้ และโอกาสใหม่ ๆ ให้กับประเทศไทย
“อัตรานี้ถือว่าใกล้เคียงกับที่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคได้รับ ทำให้การแข่งขันยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงเดิมทำให้ไม่มีประเทศใดได้เปรียบหรือเสียเปรียบอย่างมีนัยสำคัญ ทุกประเทศก็ต้องทำงานหนักกันเต็มที่เพื่อรักษาความได้เปรียบเสียเปรียบไม่ให้ต่างกันมาก และกลับไปแข่งขันกันในด้านอื่นๆ“
เร่งศึกษาผลกระทบ เตรียมมาตรการเยียวยา แต่ยังไม่เปิดเผยงบ
พิชัยกล่าวอีกด้วยว่า ขณะนี้ ภาครัฐเตรียมมาตรการเยียวยารองรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ภาษีที่ไม่แน่นอน จนมีการชะลอการลงทุน ชะลอการผลิตและส่งออกเป็นเวลา 2 เดือน โดยภาครัฐจะแบ่งระดับความช่วยเหลือแตกต่างกัน ตามความต้องการของแต่ละภาคอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ พิชัยกล่าวในรายการ ‘กรรมกรข่าว คุยนอกจอว่า’ ได้แจ้งให้สภาอุตสาหกรรม และสภาหอการค้าช่วยเก็บข้อมูลผลกระทบของภาคธุรกิจในแต่ละอุตสาหกรรมแล้ว เพื่อออกมาตรการได้อย่างตรงจุด
โดยมาตรการช่วยเหลือเบื้องต้นจะเป็นการออกซอฟต์โลน เพื่อบรรเทาผลกระทบในแต่ละอุตสาหกรรมที่ต้องการเงินสดอย่างเร่งด่วน นอกจากนี้ ยังมีการเตรียมมอบเงินสำหรับลงทุนเครื่องจักร ปรับปรุงมาตรฐานการผลิตให้ทันสมัย
เป้าหมายหลักของภาครัฐคือ เสริมการจ้างงานให้เข้ากับโครงสร้างการผลิตระยะต่อไป โดยพิชัยชี้ว่าเป็นธรรมดาสำหรับโรงงานที่จะต้องปิดตัวไป เมื่อไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับห่วงโซ่อุปทานสมัยใหม่ได้
ดังนั้น ภาครัฐจะช่วยเสริมเงินลงทุน และเชื่อมภาคธุรกิจไทย ให้เข้ากับภาคธุรกิจต่างประเทศ โดยตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือ ภาครัฐจะเชื่อมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ไทย ให้เข้ากับผู้ประกอบการรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน
สำหรับตัวเลขประมาณการเติบโตเศรษฐกิจไทยที่คาดว่า 2.2% พิชัยชี้ว่ามีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้ หากไทยสามารถยกระดับศักยภาพในการแข่งขัน
“การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ให้มีต้นทุนผลิตที่แข่งขันได้ เป็นประเภทสินค้าที่ตลาดต้องการ และสินค้าที่ Value Added เยอะ รวมถึงเพิ่มการสร้างงานในประเทศไทย เราจะต้องสนับสนุนให้มีการใช้ Local Content ให้มากขึ้น ซึ่งเราจำเป็นต้องพยายามผลักดัน SME ให้เป็นส่วนหนึ่งของ Supply Chain ให้ได้มากที่สุด” พิชัยกล่าว
สำหรับประเด็นการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อเร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการ พิชัยชี้ว่า ให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งปัจจุบัน กระทรวงการคลังได้ทำงานร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โดยมอบข้อมูลที่จำเป็นไปมากพอแล้ว