สธ.ชูนโยบาย 3 ข้อ แก้ปัญหาสถานะการเงินรพ. - ภาระงานบุคลากร
จากที่มีรายงานล่าสุด เกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเงิน ของหน่วยบริการสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สป.สธ.) ไตรมาส 3 ของปีงบประมาณ 2568 พบว่า มี 326 แห่ง จำนวนเงินบำรุงติดลบรวมกัน 8,287.9 ล้าน เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 จำนวน 108 แห่ง และมากกว่า ไตรมาส 3 ของปีก่อนหน้า 48 แห่ง และมี รพ. 573 แห่ง เงินบำรุงเป็นบวกรวมกัน 44,246.5 ล้านบาท ขณะที่มีรพ. จำนวน 35 แห่ง เป็นรพ.ชุมชน(ระดับอำเภอ) 34 แห่ง และรพ.ศูนย์ 1 แห่ง วิกฤติทางการเงินระดับ 7 ซึ่งเป็นระดับหนักที่สุด
นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) มีนโยบาย 3 ขั้นตอนในการแก้ไขปัญหาและบริหารจัดการ คือ
1.การลดภาระงานของโรงพยาบาลและบุคลากร ก็มีการใช้เทเลเมดิซีน และดำเนินการส่งเสริมการจัดตั้งมินิคลินิก(Mini Clinic) จะช่วยลดความแออัดและภาระงานในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ทำให้บุคลากรสามารถดูแลผู้ป่วยได้อย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพมากขึ้นซึ่งเป็นแนวทางที่สามารถดำเนินการได้รวดเร็ว คาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ภายในต้นปีงบประมาณใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม หากมีการเตรียมความพร้อม
2.การลดจำนวนผู้ป่วย เน้นการป้องกันและควบคุมโรค โดยเฉพาะกลุ่ม โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของการเข้าโรงพยาบาล ที่ผ่านมามีการรณรงค์และนับคาร์บอย่างจริงจัง โดยในต่างจังหวัดได้มีการนับไปแล้วกว่า 41 ล้านคน บวกกับเรื่องคลินิก NCDs รักษาหายที่มีผู้เข้าสู่ขั้นตอนการรักษาแล้ว 248,798 คน ครบขั้นตอน 167,034 คน อยู่ระหว่างติดตาม 81,764 คน
โดยมีจำนวนผู้ป่วยที่เข้าเกณฑ์NCDsสงบ 26,056 คน ผู้ป่วยที่หยุดยาได้ 16,201 คน และผู้ป่วยที่ลดยาลง 25,777 คน รวมค่าใช้จ่ายที่ลดได้ 717.18 ล้านบาท และกำลังขยายโครงการนับคาร์บเข้ามาในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ทั้ง 50 เขต ได้มีการให้ข้อมูลและความรู้แก่เจ้าหน้าที่ใน 4 เขตนำร่องแล้ว เพื่อให้ดำเนินการลดจำนวนผู้ป่วย NCDs ต่อไป
และ3.การเพิ่มจำนวนบุคลากร ซึ่งผ่านคณะรัฐมนตรี(ครม.)ไปแล้วตั้งแต่ 6 สิงหาคม 2567 ในการเห็นชอบยุทธศาสตร์ปฏิรูปกำลังคนและภารกิจบริการสาธารณสุขในภาพรวมของประเทศ 10 ปี ตั้งแต่พ.ศ.2567-2571 ซึ่งสธ.ร่วมหารือกับกระทรวง อว.แล้ว โดยปัจจุบันแพทย์มี 71,616 คน อยู่ในสังกัดสธ. 22,093 คน ในส่วนของสถาบันพระบรมราชชนกจะผลิตเพิ่มอีกราว 10,000 คน
นอกจากนี้โครงการผลิตแพทย์และทีมนวัตกรรมสุขภาพเพื่อเวชศาสตร์ ครอบครัวตอบสนองต่อระบบสุขภาพปฐมภูมิทั่วไทย ที่เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 2567 ครม. มีมติเห็นชอบในหลักการการของงบประมาณจำนวน 37,234.48 ล้านบาท ซึ่งเป็นรายการผูกพันข้ามปี ภายใต้ระยะเวลาตั้ 10 ปี ตั้งแต่ปี 2568 – 2577 ตั้งเป้าหมายที่จะมีการผลิตกำลังคนด้านสาธารณสุขทั้งหมด 9 สาขา ได้แก่ แพทย์ พยาบาล นักวิชาการสาธารณสุข ผู้ช่วยพยาบาล ทันตแพทย์ ผู้ช่วยนักสาธารณสุข เภสัชกร นักฉุกเฉินการแพทย์ และแพทย์แผนไทย รวมจำนวน 62,000 คน หรือปีการศึกษาละ 6,200 คน
นายสมศักดิ์ กล่าวถึงกรณีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)หักเงินรพ. 3% จากงบประมาณผู้ป่วยในด้วยว่า จากการตรวจสอบพบว่า เงินผู้ป่วยในทั้งหมดมีจำนวนมากกว่า 44,000 ล้านบาท ซึ่ง 3% ของจำนวนนี้คือ 2,500 ล้านบาท แต่เงินจำนวน 3% นี้ถ้าถูกหักออกไปก็ไม่ใช่จะนำออกนอกระบบทั้งหมด แต่ยังคงอยู่ในเขตสุขภาพเดียวกันของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.)
“เมื่อวันที่ 4 สิงหาคมที่ผ่านมา ตัวแทนจาก สปสช. และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลมีการประชุมหารือเพื่อทำความเข้าใจและคลี่คลายข้อวิตกกังวลเกี่ยวกับประเด็นนี้แล้ว โดยได้ดูเรื่องการตรวจสอบรายละเอียดเล็กน้อย เช่น การลืมเซ็นชื่อหรือการบันทึกข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน ก็ต้องให้โอกาสผู้ปฏิบัติงานมีเวลาทำความเข้าใจและทำความเข้าใจร่วมกัน จึงได้ขยายระยะเวลาในการนำส่งข้อมูลจากวันที่ 15 ส.ค. เป็นวันที่ 25 ส.ค.2568 ดังนั้น จึงยังไม่มีการหักเงินในจำนวนดังกล่าว”นายสมศักดิ์กล่าว