กทท. ลุยศึกษาท่าเรือบก เปิดทางเอกชนร่วมลงทุน
'กทท.' กางแผนศึกษาท่าเรือบก 3 จังหวัด ลุยถกภาคธุรกิจนำร่องโปรเจ็กต์ 'ขอนแก่น-นครราชสีมา-อยุธยา' ดันร่างพ.ร.บ.การท่าเรือฯฉบับใหม่ เปิดทางเอกชนร่วมทุนลงทุน คาดได้ข้อสรุปแผนลงทุนภายในปี 69 หวังกระตุ้นพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมเชื่อมทางรถไฟ
13 ส.ค. 2568 - นายเกรียงไกร ไชย์ศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยว่า สำหรับความคืบหน้าโครงการท่าเรือบก (Dry Port) ทั้ง 3 จังหวัด ประกอบด้วย ขอนแก่น นครราชสีมา และพระนครศรีอยุธยา วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท ที่ผ่านมากทท.ดำเนินการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการฯแล้วเสร็จ ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการทบทวนข้อมูลรูปแบบการลงทุนทั้งด้านความคุ้มค่าของการลงทุนและปริมาณสินค้ากับภาคธุรกิจ ตามแผนจะดำเนินการจัดทำรูปแบบการลงทุนภายในปีนี้ คาดว่าจะได้ข้อสรุปรูปแบบการลงทุนภายในปี 2569
สำหรับแนวโน้มรูปแบบการลงทุนอาจจะเป็นการเปิดประมูลให้เอกชนร่วมลงทุนกับภาครัฐ (PPP) แต่กระบวนการนี้จะใช้เวลาดำเนินการนาน ซึ่งกทท.อาจจะต้องมาหารูปแบบการลงทุนอื่นๆเพิ่มเติมที่ทำให้โครงการสามารถขับเคลื่อนได้เร็วขึ้น ขณะเดียวกันจากการศึกษาความเป็นไปได้พบว่าการพัฒนาท่าเรือบกในจังหวัดขอนแก่นและจังหวัดนคราชสีมา ถือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีศูนย์กระจายสินค้า ซึ่งกทท.อยู่ระหว่างการหารือกับภาคธุรกิจถึงการเชื่อมต่อท่าเรือบกทั้ง 2 จังหวัดขอนแก่นไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในระดับภูมิภาค นอกเหนือจากการเชื่อมต่อที่ท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี
นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยผลักดันโครงการท่าเรือบกสำเร็จ คือ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ท่าเรือ ฉบับใหม่ ซึ่งจะทำหน้าที่ปลดล็อกข้อจำกัดทางกฎหมายที่กำหนดให้ท่าเรือต้องดำเนินการเฉพาะกิจกรรมทางทะเลเท่านั้น โดยร่าง พ.ร.บ. ฉบับดังกล่าวจะเปิดโอกาสให้ กทท. สามารถตั้งบริษัทลูกหรือร่วมลงทุนกับหน่วยงานต่างๆ ได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น โดยเฉพาะการเชื่อมต่อกับการขนส่งสินค้าทางรถไฟของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญของการขนส่งสินค้าจากท่าเรือบกไปยังท่าเรือหลัก คาดว่าร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้จะเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวาระที่ 2 ภายใน 1-2 เดือน
ที่ผ่านมากทท. เคยศึกษาศึกษาและพัฒนาท่าเรือบกในหลายพื้นที่ ปัจจุบันกทท.ยังเล็งเห็นศักยภาพการพัฒนาท่าเรือบกอีก 1 จังหวัด คือ ชุมชนบ้านภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา คาดว่าจะใช้งบประมาณราว 1,000 ล้านบาท ที่ผ่านมา จากการสำรวจพบว่ามีพื้นที่ดังกล่าวภาคเอกชนมีความต้องการสูงและมีความพร้อมที่จะร่วมลงทุน เพราะเป็นพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่มองเห็นถึงความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์
ทั้งนี้ ยังพบอีกว่าพื้นที่ดังกล่าวในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีกลุ่มภาคนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จำนวนมากที่มีทางรถไฟอยู่แล้ว ทำให้เห็นถึงปริมาณสินค้าและความต้องการใช้งานท่าเรือบก สามารถเชื่อมโยงการขนส่งได้หลากหลาย ทั้งทางรถไฟและทางน้ำผ่านแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำป่าสัก ซึ่งจะช่วยเพิ่มทางเลือกและประสิทธิภาพในการขนส่ง ส่วนโครงการท่าเรือบกที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ยังเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญต่อเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ซึ่งอยู่ระหว่างการหารือและทบทวนเรื่องพื้นที่ เนื่องจากยังมีข้อจำกัดและความกังวลจากชุมชนในประเด็นการเวนคืนที่ดิน
สำหรับโครงการพัฒนาท่าเรือบก อีก 3 จังหวัด ที่กทท.เคยศึกษานั้น ประกอบด้วย โครงการพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) จังหวัดขอนแก่น พื้นที่ 1,500-2,000 ไร่ วงเงินลงทุน 7,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ในพื้นที่บ้านโนนพยอม ต.ม่วงหวาน อ.นํ้าพอง จ.ขอนแก่น โดยพบว่าเป็นพื้นที่ที่มีความเป็นไปได้ในเชิงโลจิสติกส์ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่อยู่ตรงกลางระหว่างท่าเรือแหลมฉบังกับท่าเรือของสปป.ลาว โดยกทท.มีแผนให้แนวเส้นทางโครงการฯ สามารถเชื่อมต่อประเทศจีนตอนใต้ ผ่านประเทศสปป.ลาว แต่ปัจจุบันภาคเอกชนยังลังเลเรื่องความคุ้มค่าในการลงทุน ทำให้กทท.ต้องพิจารณาปริมาณสินค้าจะคุ้มค่าต่อการลงทุนหรือไม่
ขณะที่โครงการพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) จังหวัดนครราชสีมา พื้นที่ 2,000 ไร่ วงเงินลงทุน 7,000 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่บริเวณสถานีรถไฟบ้านกระโดน ต.หนองไข่น้ำ อ.เมืองนครราชสีมา ที่ผ่านมากทท.เคยศึกษาแผนก่อนหน้านี้ แต่ยังไม่แล้วเสร็จ ซึ่งโครงการฯมีความเป็นไปได้ เนื่องจากเอกชนให้ความสนใจลงทุนในพื้นที่นี้ เพราะมีปริมาณสินค้าเยอะสามารถลดการกระจุกตัวของสินค้าเข้าสู่ในเมืองได้ ส่วนโครงการพัฒนาท่าเรือบก (Dry Port) จังหวัดฉะเชิงเทรา บนพื้นที่ราว 1,000 ไร่ จากการศึกษาในช่วงที่ผ่านมาพบว่ายังติดปัญหาเรื่องการเวนคืนที่ดินและการประท้วงของชาวบ้านในพื้นที่ ทำให้ยังไม่พร้อมที่จะศึกษาโครงการฯ
อย่างไรก็ตาม หากในอนาคตโครงการนี้ยังมีความสำคัญ อาจจะมีการพิจารณาทบทวนอีกครั้ง ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตพื้นที่ของอีอีซีใกล้กับท่าเรือแหลมฉบังแล้ว ถือเป็นทางเลือกช่วยลดการกระจุกตัวของสินค้านอกเหนือจากสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง (ICD) ย่านลาดกระบังได้ ดังนั้นการพัฒนาท่าเรือบกจะเพิ่มความสะดวกในการนำสินค้าผ่านด่านศุลกากรและบริหารจัดการตู้สินค้าหลังท่าของท่าเรือหลักให้มีประสิทธิภาพ รวมถึงช่วยลดปัญหาการจราจรติดขัดในระยะยาวและลดการกระจุกตัวของสินค้า ไม่จำเป็นต้องเข้ามาที่ศูนย์กลางกระจายสินค้าเพียงจุดเดียว (ICD) สามารถรองรับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ในประเทศได้