‘ภูมิธรรม’แก้ กม.BOI ตั้งกองทุนคืนภาษีต่างชาติ-ดึงดูดการลงทุน-ครม.โยก“วรรณพงษ์”เลขา ศอ.บต.นั่งปลัดแรงงาน
เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ที่มาภาพ : www.thaigov.go.th/
- ‘ภูมิธรรม’ แก้ กม. BOI ตั้งกองทุนคืนภาษีต่างชาติ-ดึงดูดการลงทุน
- อนุมัติงบกลาง 1,674 ล้าน จ่ายค่าอาหารกลางวัน-นมโรงเรียน
- จัดงบ 116 ล้าน ชดเชย รฟม.ยกเว้นค่าโดยสารรถไฟฟ้า
- ตั้ง ‘จิรายุ-ศศิกานต์’ โฆษกรัฐบาล
- โยก “วรรณพงษ์” เลขา ศอ.บต.นั่งปลัดแรงงาน
เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมนายภูมิธรรม ได้มอบหมายให้นายชูศักดิ์ ศรีนิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
มอบ ‘สุริยะ-พีระพันธ์-พิชัย-ประเสริฐ’ ทำหน้าที่แทนนายกฯ ตามลำดับ
นายชูศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม. มีการแต่งตั้งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แต่เนื่องจาก ครม. ยังไม่มีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ จึงมอบหมายให้ตนมาแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ในการมอบหมายหน้าที่รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี เรียงลำดับดังนี้
(1) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
(2) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
(3) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ (4) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมอีกทั้งยังมอบหมายให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ทำหน้าที่เหมือนที่เคยปฏิบัติมา
นายชูศักดิ์ กล่าวต่อว่า รองนายกรัฐมนตรีทั้ง 4 คน จะทำปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีตามลำดับ ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ รวมถึงมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีที่กล่าวมานั้นและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่เช่นเดียวกับที่ผ่านมา
ตั้ง ‘จิรายุ-ศศิกานต์’ โฆษกรัฐบาล
นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม.ยังมีมติแต่งตั้งข้าราชการการเมืองเท่าที่จำเป็น โดยตำแหน่งข้าราชการการเมืองประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่ประสานงาน และรับเอกสาร นอกจากนี้ยังมีการแต่งตั้งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเท่าที่จำเป็น อาทิ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ ตำแหน่งรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แต่วันนี้ยังไม่มีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ตนจึงมาทำหน้าที่โฆษกฯจนกว่าจะมีการแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ
แก้ กม. BOI ตั้งกองทุนคืนภาษีต่างชาติ-ดึงดูดการลงทุน
นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติ ร่าง พ.ร.บ. การเพิ่มขีดความสามารถของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. รวมทั้งรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลา และกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว ตามที่สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) หรือ “BOI” นำเสนอ เพื่อส่งเสริมสิทธิประโยชน์โดยการให้เครดิตทางด้านภาษี ทำให้บริษัทต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย ทั้งนี้ ครม. จะนำส่งร่างกฎหมายดังกล่าวให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเพื่อตรวจสอบ ก่อนนำเสนอให้รัฐสภาเป็นลำดับถัดไป
นายชูศักดิ์ กล่าวต่อว่า ร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวเป็นการดำเนินการ เพื่อบรรเทาผลกระทบของผู้ประกอบการจากการจัดเก็บภาษีส่วนเพิ่ม (Top-Up Tax) (เป็นการจัดเก็บภาษีในรูปแบบใหม่) ซึ่งประเทศไทยได้ตราพระราชกำหนดภาษีส่วนเพิ่ม พ.ศ. 2567 โดยมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เพื่อจัดเก็บภาษีดังกล่าวจากกลุ่มนิติบุคคลข้ามชาติขนาดใหญ่และนิติบุคคลในเครือ ซึ่งตั้งอยู่ในประเทศไทยที่มีรายได้รวมทั้งหมด ตามงบการเงินรวมของนิติบุคคลแม่ลำดับสูงสุดของกลุ่มนิติบุคคลข้ามชาตินั้น ตั้งแต่ 750 ล้านยูโรขึ้นไป (ประมาณ 30,000 ล้านบาท) ในอย่างน้อย 2 รอบระยะเวลาบัญชีในช่วง 4 รอบระยะเวลาบัญชีก่อนหน้ารอบระยะเวลาบัญชีปัจจุบันที่พิจารณาเป็นผู้มีหน้าที่ต้องเสีย Top-Up Tax โดยต้องเสียภาษีขั้นต่ำ (GMT) ในอัตราร้อยละ 15 (ซึ่งต้องเริ่มคำนวณและยื่นแบบเพื่อชำระภาษีดังกล่าวตั้งแต่ปี 2568) อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากมาตรการรองรับการเสียภาษีขั้นต่ำ (Global Minimum Tax) ตาม Pillar 2 ขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD)
จากการศึกษาพบว่า ในต่างประเทศได้มีการนำวิธีการให้เครดิตภาษี (Qualified Refundable Tax Credits: ORTC) ซึ่งเป็นการคืนเงินภาษีในรูปแบบของเงินสด หรือ เทียบเท่า หากบริษัทสามารถปฏิบัติได้ตามเงื่อนไขที่รัฐบาลของผู้จัดเก็บภาษีกำหนด มาใช้เป็นแนวทางในการบรรเทาผลกระทบจากการจัดเก็บ Top-Up Tax และวิธีการ ORTC เป็นวิธีการที่ OECD ให้การยอมรับ โดยสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
1. การให้สิทธิและประโยชน์เครดิต และการนำเครดิตไปใช้แทนการชำระภาษีอากร โดยกำหนดให้คณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย มีอำนาจหน้าที่ในการอนุมัติ ให้ผู้ได้รับการส่งเสริมสามารถได้รับสิทธิเครดิตภาษี ตามสัดส่วนของการลงทุน หรือ ค่าใช้จ่ายครอบคลุม 3 ด้าน โดยผู้ได้รับการส่งเสริมสามารถนำเครดิตภาษีที่ได้รับอนุมัติไปใช้แทนการชำระภาษีอากรของตนเอง หรือ นิติบุคคลในเครือเดียวกันที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย โดยต้องนำไปใช้แทนการชำระภาษีอากรภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด
2. การคืนเครดิตภาษีที่เหลืออยู่จากกองทุนฯ ผู้ได้รับการส่งเสริมสามารถยื่นคำขอต่อสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เพื่อขอรับเครดิตภาษีที่เหลืออยู่คืนเป็นเงินสด ภายในระยะเวลาที่คณะกรรมการนโยบายกำหนด และคณะกรรมการนโยบายมีอำนาจพิจารณาให้นำเงินจากกองทุนฯ มาจ่ายคืนสำหรับเครดิตภาษีที่เหลืออยู่นั้นได้ ทั้งนี้ ภาครัฐต้องจัดสรรงบประมาณให้แก่กองทุนให้เพียงพอต่อการคืนเงินสด (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 6 มาตรา 29 มาตรา 30 และเพิ่มมาตรา 26/1)
3. การเพิกถอนสิทธิและประโยชน์เครดิตภาษี โดยกำหนดให้ในกรณีที่มีการตรวจสอบพบการให้ หรือ การใช้สิทธิและประโยชน์เครดิตภาษีไม่ถูกต้อง คณะกรรมการนโยบายมีอำนาจในการเพิกถอนสิทธิและประโยชน์เครดิตภาษี โดยอาจกำหนดให้มีผลย้อนหลังไปยังรอบปีภาษีที่ไม่ถูกต้องได้ และให้นำกฎหมายภาษีอากรที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับต่อไป (เพิ่มมาตรา 27/1)
4. การประสานข้อมูลระหว่างหน่วยงานของรัฐ กำหนดอำนาจให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนสามารถประสานไปยังกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นต้นสังกัดของหน่วยงานผู้จัดเก็บภาษีอากร ให้จัดส่งข้อมูลเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีอากรตามกฎหมายภาษีอากรที่เกี่ยวข้องได้ (เพิ่มมาตรา 12/1)
จี้หน่วยงานรัฐรับคนพิการทำงาน
นายชูศักดิ์ กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติรับทราบข้อห่วงใย และข้อวิตกกังวลของกระทรวงพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เกี่ยวกับการปฏิบัติตาม พ.ร.บ. ส่งเสริม และพัฒนาคุณภาพคนพิการ พ.ศ. 2550 ทั้งนี้เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้ รวมทั้งมติ ครม.ได้กำหนดเป้าหมายให้หน่วยงานต่าง ๆ เปิดโอกาสให้คนพิการเข้าทำงานอย่างทั่วถึง อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันประเทศไทยมีคนพิการจำนวนกว่า 2,267,343 คน แต่เข้าทำงานจริงเพียง 18,000 คนเท่านั้น คณะรัฐมนตรีจึงมีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำแนกประเภทของคนพิการให้ชัดเจน พร้อมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนให้คนพิการเข้าทำงานมากขึ้น เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้
อนุมัติงบกลาง 1,674 ล้าน จ่ายค่าอาหารกลางวัน-นมโรงเรียน
นอกจากนี้ที่ประชุม ครม.ยังมีมติอนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น งบประมาณทั้งสิ้น 1,674.73 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับรายการเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนอาหารกลางวัน ระดับประถมศึกษา และเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนอาหารเสริม (นม) ให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลนคร เทศบาลเมือง เทศบาลตำบล และกรุงเทพมหานคร ตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ โดยมีสาระสำคัญของเรื่อง ดังนี้
สำนักงบประมาณ (สงป.) แจ้งว่า นายกรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการให้กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลนคร เทศบาลเมือง เทศบาลตำบล) และกรุงเทพมหานคร ดำเนินรายการเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนอาหารกลางวัน และนมโรงเรียนให้แก่เด็กนักเรียนในสังกัดดังกล่าวภายในกรอบวงเงิน 1,674.73 ล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ทั้งนี้ ให้หน่วยรับงบประมาณตรวจสอบจำนวนนักเรียนในภาคเรียนที่ 1/2568 ก่อนทำความตกลงในรายละเอียดค่าใช้จ่าย กับ สงป. อีกครั้งหนึ่ง และให้พิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 จากโครงการ/รายการที่บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว และมีงบประมาณเหลือจ่าย หรือ หมดความจำเป็น หรือ รายการที่คาดว่าจะไม่สามารถดำเนินการได้ทันภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 โดยโอนงบประมาณโอนเงินจัดสรร หรือ เปลี่ยนแปลงเงินจัดสรรแล้วแต่กรณี รวมถึงนำเงินรายได้ หรือ เงินสะสมคงเหลือมาสมทบในโอกาสแรก
จัดงบ 116 ล้าน ชดเชย รฟม.ยกเว้นค่าโดยสารรถไฟฟ้า
ที่ประชุม ครม.มีมติอนุมัติการขอรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 116.78 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินมาตรการยกเว้นอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานคร เพื่อส่งเสริมการใช้บริการรถไฟฟ้าในช่วงสถานการณ์ฝุ่นละออง 2.5 (PM2.5) เพิ่มขึ้นสูง ตามนโยบายของรัฐบาล ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ โดยมีสาระสำคัญของเรื่อง ดังนี้
1. มาตรการลดผลกระทบฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ระยะวิกฤติ ระหว่างวันที่ 25-31 มกราคม 2568 ได้มีการยกเว้นค่าบริการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนของโครงการรถไฟฟ้า โดยในส่วนค่าใช้จ่ายของ รฟม. ให้ใช้จ่ายจากเงินรายได้ของ รฟม. ซึ่งต่อมา รฟม. แจ้งว่าไม่สามารถนำเงินรายได้ของ รฟม. มาใช้จ่ายได้ จึงขอปรับแหล่งเงินจากเงินรายได้ของ รฟม. เป็นการขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นแทน
2. คค. ได้เสนอ สงป. เพื่อขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 116.78 ล้านบาท สำหรับใช้กับมาตรการยกเว้นอัตราค่าโดยสารรถไฟเพื่อส่งเสริมการใช้บริการรถไฟฟ้าในช่วงสถานการณ์ฝุ่นละออง 2.5 (PM2.5) เพิ่มขึ้นขึ้นสูงตามนโยบายของรัฐบาล ประกอบด้วย
3. สงป. ได้นำเรื่องกราบเรียนนายกรัฐมนตรีพิจารณาแล้ว นายกรัฐมนตรีเห็นชอบให้ คค. โดย รฟม. ใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลางรายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 116.78 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินมาตรการยกเว้นอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานคร เพื่อส่งเสริมการใช้บริการรถไฟฟ้าในช่วงสถานการณ์ฝุ่นละออง 2.5 (PM2.5) เพิ่มขึ้นสูง ตามนโยบายของรัฐบาล และเมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ขอให้ คค. โดย รฟม. จัดทำแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ เพื่อขอทำความตกลงกับ สงป. ตามขั้นตอนต่อไป
โยก “วรรณพงษ์” เลขา ศอ.บต.นั่งปลัดแรงงาน
นายชูศักดิ์ กล่าวว่า วันนี้ที่ประชุม ครม.มีมติแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ และผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานรัฐ ดังนี้
1. เรื่อง การโอนข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงแรงงาน)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เสนอโอน พันตำรวจโท วรรณพงษ์ คชรักษ์ เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (นักบริหารระดับสูง) ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงแรงงาน (นักบริหารระดับสูง) กระทรวงแรงงาน ทดแทนตำแหน่งที่ว่างลง ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง ทั้งนี้ ทั้งสองหน่วยงานได้ยินยอมให้โอนข้าราชการพลเรือนสามัญรายดังกล่าวแล้ว
2. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงคมนาคม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงคมนาคม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่จะว่างลง โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 ดังนี้
1) นายพิชิต หุ่นศิริ รองอธิบดี (นักบริหารระดับต้น) กรมทางหลวงชนบท ไปดำรงตำแหน่งอธิบดี (นักบริหารระดับสูง) กรมทางหลวงชนบท
2) นายจิรโรจน์ ศุกลรัตน์ รองผู้อำนวยการ (นักบริหารระดับต้น) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร ไปดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ (นักบริหารระดับสูง) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
3. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (กระทรวงกลาโหม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงกลาโหม (กห.) เสนอแต่งตั้งกรรมการผู้ทรวงคุณวุฒิในคณะกรรมการนโยบายเทคโนโลยีป้องกันประเทศ จำนวน 6 คน เนื่องจากกรรมการผู้ทรวงคุณวุฒิเดิมได้ดำรงตำแหน่งครบวาระ 4 ปี ดังนี้
1. พลเอก ภูมิพัฒน์ จันทร์สว่าง ด้านการทหาร
2. พลเรือเอก สุพพัต ยุทธวงศ์ ด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ
3. ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุรชัย สนิทใจ ด้านการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม
4. นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ด้านกฎหมาย
5. นายธัชพล กาญจนกูล ด้านการเงิน การคลัง การบัญชี หรือ การงบประมาณ
6. นางจุฬามณี ชาติสุวรรณ ด้านการลงทุน การพาณิชย์ หรือการค้าระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน 2568 เป็นต้นไป
4. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเสนอ แต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงสาธารณสุข ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 2 ราย ตั้งแต่วันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์ ดังนี้
1. นายปณิธี ธัมมวิจยะ นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเวชกรรมป้องกัน) กรมควบคุมโรค ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเวชกรรมป้องกัน) กรมควบคุมโรค ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567
2. นายสุชาติ เจนเกรียงไกร นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม)โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา สำนักงานปลัดกระทรวง ดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ (ด้านเวชกรรม สาขาอายุรกรรม) โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา สำนักงานปลัดกระทรวง ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม 2568
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
5. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่ง ประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (สำนักนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่สำนักงบประมาณ (สงป.) เสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ จำนวน 4 ราย ดังนี้
1. นายวิศนุเวศ เศวตนันทน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สงป.
2. นายน้อง เจริญนาค ผู้อำนวยการสำนักงาน (ผู้อำนวยการสูง) สำนักงานผู้อำนวยการ สงป. ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สงป.
3. นางสาวประนิอร เตียวตรานนท์ ผู้อำนวยการกอง (ผู้อำนวยการสูง) กองจัดทำงบประมาณด้านเศรษฐกิจ 1 สงป. ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สงป.
4. นางสาวพัชราภรณ์ สิทธิพงษ์ ผู้อำนวยการกอง (ผู้อำนวยการสูง) กองยุทธศาสตร์การงบประมาณ สงป. ให้ดำรงตำแหน่ง ที่ปรึกษาสำนักงบประมาณ (นักวิเคราะห์งบประมาณทรงคุณวุฒิ) สงป.
ตั้งแต่วันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ซึ่งเป็นวันที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง เป็นต้นไป
6. เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการการเมือง
คณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง จำนวน 15 ราย ดังนี้
1. นายจักรพงษ์ แสงมณี ตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
2. นายสมคิด เชื้อคง ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
3. นางสาวธีราภา ไพโรหกุล ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
4. นายณณัฏฐ์ หงษ์ชูเวช ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
5. นายธิติวัฐ อดิศรพันธ์กุล ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมนตรี นายภูมิธรรม เวชยชัย)
6. นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมนตรี นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ)
7. นายชื่นชอบ คงอุดม ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมนตรี นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค)
8. นายพงศ์ศรัณย์ อัศวชัยโสภณ ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมนตรี นายพิชัย ชุณหวชิร)
9. นายฉัตริน จันทร์หอม ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (รองนายกรัฐมนตรี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง)
10. นายกฤช เอื้อวงศ์ ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวจิราพร สินธุไพร)
11. นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
12. นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ ตำแหน่งรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
13. นายธเนศ กิตติธเนศวร ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายชูศักดิ์ ศิรินิล)
14. นางสาวเพ็ญพิสุทธิ์ จินตโสภณ ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวจิราพร สินธุไพร)
15. นายรวีภัทร์ จิรศักดิ์วัฒนา ตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ ตันเจริญ)
อ่านมติ ครม.ประจำวันที่ 2 กันยายน 2568 เพิ่มเติม