ย้อนดู 3 กรณีตัวอย่าง เมื่อความผิดฐาน ‘อาชญากรรมสงคราม’ เข้าสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ
จากกรณีการโจมตีโรงพยาบาล รวมถึงบ้านเรือนบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา จนวันนี้ (30 กรกฎาคม 2568) มีรายงานจำนวนผู้เสียชีวิต 15 ราย และผู้บาดเจ็บอีกหลายราย สังคมก็พูดถึงความผิดฐาน ‘อาชญากรรมสงคราม’ (War Crimes) กันอย่างกว้างขวาง
ตามมาตรา 5 ของธรรมนูญกรุงโรม (Rome Statute) อันเป็นสนธิสัญญาที่ก่อตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court หรือ ICC) ระบุอาชญากรรมร้ายแรงที่สุดที่อยู่ในเขตอำนาจศาล ได้แก่
การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (The crime of genocide) อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ (Crimes against humanity) อาชญากรรมสงคราม (War crimes) อาชญากรรมแห่งการรุกราน (The crime of aggression)
สำหรับอาชญากรรมสงครามที่กำลังเป็นพูดถึงนั้น รศ.ดร.ปกป้อง ศรีสนิท จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุบนเว็บไซต์ the 101.world ว่า “อาชญากรรมของผู้ที่ทำสงครามฝ่าฝืนกฎแห่งการทำสงคราม”
รศ.ดร.ปกป้องชี้ว่า การขัดกันทางอาวุธ (armed conflict) ระหว่าง 2 ฝ่ายขึ้นไป จะถือว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม เมื่อมีลักษณะการโจมตีโดยเจตนา ดังต่อไปนี้
การตั้งใจยิงทหารที่อยู่ในสภาพไม่พร้อมรบ (hors de combat) การตั้งใจยิงพลเรือนที่ไม่ใช่ผู้ทำการรบ (combatant) การตั้งใจยิงเป้าหมายทางทหารแต่สร้างความเสียหายเกินสมควรให้กับพลเรือน การใช้วิธีการทำสงครามที่เกินธรรมเนียมการทำสงคราม เช่น การใช้อาวุธมีพิษ (poison or poisoned weapons) หรือการใช้แก๊สพิษ (poisonous gases) การใช้โล่มนุษย์ (human shields) การโกงความไว้ใจ (perfidy)
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ต่อไปนี้คือตัวอย่างกรณีในอดีต ที่ ICC เคยตัดสินว่า เข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม
1) คดีของฌอง-ปิแอร์ เบมบา อดีตรองประธานาธิบดีคองโก กับข้อกล่าวหาการใช้ความรุนแรงทางเพศเป็นเครื่องมือของสงคราม
ในปี 2016 ICC ประกาศว่าอดีตรองประธานาธิบดีคองโก ฌอง-ปิแอร์ เบมบา (Jean-Pierre Bemba) มีความผิดในข้อหาอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ 2 กระทง และอาชญากรรมสงคราม 3 กระทง โดยถูกตัดสินจำคุก 18 ปี จากกรณีสั่งการให้กองกำลังของตัวเองในขณะนั้น ข่มขืนและสังหารพลเรือนในสาธารณรัฐแอฟริกากลาง ระหว่างปี 2002-2003
ระหว่างการพิจารณาคดีครั้งนั้น มีเหยื่อมากกว่า 5,000 คน เข้าร่วมการพิจารณาคดี นับเป็นจำนวนที่สูงมากในประวัติศาสตร์การพิจารณาคดีศาลอาญาระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ต่อมาในปี 2018 ศาลอุทธรณ์ของ ICC พิพากษาให้ยกเลิกโทษจำคุก 18 ปี ที่เคยตัดสินไว้ก่อนหน้า เบมบาจึงได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ระหว่างรอการพิพากษาในความผิดอื่นๆ
จากนั้นศาลอุทธรณ์ของ ICC ก็ยกฟ้องเบมบา จากข้อกล่าวหาอาชญากรรมสงครามและอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ แต่เขายังคงได้รับโทษจำคุกหนึ่งปีโดยรอลงอาญา และถูกปรับ 300,000 ยูโร จากความผิดฐานแทรกแซงพยานระหว่างการพิจารณาคดี
2) คดีของโทมัส ลูบังกา ผู้นำกองกำลังติดอาวุธในคองโก ที่ถูกจำคุกจากการเกณฑ์เด็กเข้าร่วมสงคราม
ในปี 2012 โทมัส ลูบังกา (Thomas Lubanga) ผู้นำกองกำลังติดอาวุธในประเทศคองโก ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานอาชญากรรมสงคราม จากกรณีเกณฑ์เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี และใช้เด็กเหล่านี้เข้าร่วมการสู้รบ
ลูบังกาถูกตัดสินจำคุก 14 ปี และถูกย้ายไปยังเรือนจำในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกเพื่อรับโทษจำคุก ทั้งนี้เขาเป็นคนแรกที่ถูก ICC ตัดสินว่ามีความผิดและถูกตัดสินลงโทษจำคุก โดยเมื่อปี 2020 ลูบังกาได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ และเริ่มต้นชดใช้ค่าเสียหายต่อเหยื่อ
3) คดีของอาห์หมัด อัล-ฟากี อัล-มะห์ดี กับการทำลายมรดกทางวัฒนธรรม
ในปี 2016 อาห์หมัด อัล-ฟากี อัล-มะห์ดี (Ahmad al-Faqi al-Mahdi) ถูกตัดสินจำคุก 9 ปี หลังจากสารภาพผิดในข้อหาอาชญากรรมสงคราม จากการจงใจทำลายอนุสรณ์สถานทางศาสนาและประวัติศาสตร์ ในเมืองโบราณทิมบักตู (Timbuktu) ประเทศมาลี กลายเป็นครั้งแรกที่ ICC พิจารณาว่า การทำลายมรดกทางวัฒนธรรม เป็นความผิดฐานอาชญากรรมสงคราม
จากนั้นในปี 2017 ศาลได้ออกคำสั่งชดใช้ (Reparations Order) ให้อัล-มะห์ดีต้องรับผิดชอบค่าใช้เสียหายจำนวน 2.7 ล้านยูโร โดยศาลสนับสนุนให้กองทุนทรัสต์เพื่อเหยื่อ (Trust Funds for Victims) ช่วยเสริมเงินชดเชยดังกล่าวเนื่องจากเขาเป็นผู้ยากไร้ และต่อมาผู้แทนทางกฎหมายของอัล-มะห์ดี ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งชดใช้ค่าเสียหาย โดยเมื่อปี 2021 โทษจำคุกของมะห์ดีลดลง 2 ปี และมีกำหนดสิ้นสุดโทษในวันที่ 18 กันยายน 2022
อ้างอิงจาก