‘มาริษ’ เชื่อ ‘ไทย’ ได้เปรียบเหนือ ‘กัมพูชา’ บนเวทีโลก
นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงถึงการดำเนินการของกระทรวงการต่างประเทศที่ผ่านมาว่า ที่ผ่านมา ประเทศไทย ประสบความสำเร็จบนเวทีระหว่างประเทศ ในการรับมือกับสถานการณ์การปะทะไทย-กัมพูชา ซึ่งแม้กัมพูชา จะพยายามใช้กลไกการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC ในการเปิดอภิปรายสมัยพิเศษ แต่สุดท้าย UNSC ได้มีข้อพิจารณาชัดเจนว่า ให้เป็นไปตามการเจรจา 2 ประเทศตามกลไกที่มี และกรอบอาเซียน ซึ่งไม่จำเป็นต้องอภิปรายใน UNSC อีก เพราะไม่ได้มีผลต่อสันติภาพระหว่างประเทศ ซึ่งกัมพูชา ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จต่อกรอบ UNSC ที่ไม่มีข้อมติใดๆ ในเรื่องนี้
รวมถึงเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ที่ฝ่ายกัมพูชา พยายามใช้โอกาส การประชุมระดับสูงระหว่างประเทศว่าด้วยการระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี และการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ ระหว่างการกล่าวถ้อยแถลงที่สหประชาชาติกล่าวพาดพิงไทย เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาบนเวทีดังกล่าว ซึ่งขัดต่อหลักการจนที่ประชุมให้กัมพูชา ต้องถอนถ้อยคำออกไป เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ซึ่งเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยฯ ได้โต้ตอบแล้ว ก่อนที่ที่ประชุม เห็นว่า กัมพูชาอภิปรายผิดวัตถุประสงค์การประชุม จึงต้องถอนถ้อยคำออกไป ดังนั้น การดำเนินการของประเทศไทย ที่เป็นไปตามกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ และอาเซียน ซึ่งไทยยึดถือมาโดยตลอด ทำให้ไทยสามารถดึงกัมพูชา กลับมาใช้กลไกทวิภาคีในการยุติการหยุดยิงได้ และขอให้ประชาชนมั่นใจว่า ไทยจะไม่ยอมเสียอำนาจอธิปไตยเด็ดขาด และต้องการรักษาความปลอดภัยประชาชนเป็นสำคัญ
นายมาริษ ยังย้ำว่า ที่ผ่านมากระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการทางการทูตทุกช่องทางทั้งทวิภาคี พหุภาคี ทั้งกระทรวงการต่างประเทศ และสถานทูตไทยทั่วโลก ชี้แจงตั้งแต่เกิดเหตุรุกราน และการสอบวางทุ่นสังหาร รวมถึงการโจมตีพลเรือน และการละเมิดข้อตกลงหยุดยิง รวมถึงยังได้พบกับ นายโรเบิร์ต เอฟ.โกเดค เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ภายหลังการเจรจากับกัมพูชาที่ประเทศมาเลเซีย
ซึ่งตนเอง ก็ได้ย้ำว่า ไทยต้องการการหยุดยิงโดยไม่มีเงื่อนไข แต่จะต้องได้รับความจริงใจกับกัมพูชา และกัมพูชากลับละเมิดข้อตกลง มีการยั่วยุเพื่อให้ไทยตอบโต้ ซึ่งไทยใช้ความอดกลั้นไม่ตอบโต้ และพยายามมองข้ามความยั่วยุที่เกิดขึ้น แต่กัมพูชาก็ยังคงละเมิดข้อตกลง และใช้สงครามข่าวสาร ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศทราบดี แต่ไทยก็ต้องตอบโต้ตามสมควร เพราะไทยมีข้อได้เปรียบบนเวทีการเมืองระหว่างประเทศดีอยู่แล้ว และไทยได้รับคำชื่นชมต่อการใช้วุฒิภาวะ ที่นำไปสู่การเจรจาหยุดยิงอย่างสันติและจริงใจ
นายมาริษ ยังกล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายกัมพูชายังคงใช้ข้อมูลข่าวสารปลอม กล่าวหาประเทศไทยว่า ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดข้อตกลง ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อตกลงการหยุดยิงที่มีการตกลงกันในการเจรจาที่ประเทศมาเลเซียด้วย สอดคล้องกับแถลงการณ์ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ หรือ OHCHR ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของกัมพูชา และต่อต้านการใช้ถ้อยคำที่ยั่วยุบิดเบือน ไม่สอดคล้องกับกฎหมายสิทธิมนุษยชน ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ประเทศไทยใช้ระเบียบแบบแผน มีวุฒิภาวะ และแม้กัมพูชาจะยิ่งใช้สงครามข่าวสารจากความเสียเปรียบบนเวทีต่าง ๆ ประเทศไทย ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ พร้อมตอบโต้ทุกกรณี เพื่อให้นานาประเทศเข้าใจถึงการละเมิดข้อตกลงของกัมพูชา และหากกัมพูชายังคงมีการตอบโต้ด้วยข้อมูลข่าวสารที่เป็นเท็จ ฝ่ายไทยก็ขอสงวนสิทธิ์ในการตอบโต้
ส่วนกรณีทหารกัมพูชาที่ถูกควบคุมตัว นายมาริษ ยืนยันว่า ประเทศไทยให้การดูแลตามอนุสัญญาเจนีวา ที่ทั้งหมดถูกจับได้ ขณะละเมิดอำนาจอธิปไตย และไทยให้การดูแลตามกฎบัตรสหประชาชาติ และอนุสัญญาที่เกี่ยวข้อง โดยสามารถควบคุมตัวได้และปล่อยตัวได้ เมื่อมีความมั่นใจว่า กลุ่มคนเหล่านี้ จะไม่กลับมาทำร้ายประเทศไทยอีก และขึ้นกับฝ่ายความมั่นคงในการพิจารณา
นายมาริษ ยังกล่าวถึงการนำคณะผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารประจำประเทศไทยลงพื้นที่สังเกตการณ์ที่จังหวัดอุบลราชธานี โดยหวังว่า คณะทูต จะได้เห็นสิ่งที่กัมพูชาละเมิดอำนาจอธิปไตยไทย และละเมิดข้อตกลงสหประชาชาติ กฎหมายระหว่างประเทศ กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ในการโจมตีพลเรือน โรงพยาบาล และปั๊มน้ำมัน และพิสูจน์ได้ว่า ประเทศไทยรักษากติการะหว่างประเทศ และกระทรวงการต่างประเทศ ก็จะพาสื่อมวลชนต่างประเทศ ลงพื้นที่ร่วมกับผู้ช่วยทูตทหาร เพื่อให้ชาวโลกได้เข้าใจความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อพลเรือนไทยด้วย
ส่วนกระทรวงการต่างประเทศ จะนำเงื่อนไขการผิดสัญญาใช้ข้อมูลข่าวสารบิดเบือน เรียกร้องให้ประธานอาเซียน จัดการประชุม 10 ชาติอาเซียน เพื่อขอมติกดดันกัมพูชา ยุติการกระทำดังกล่าวหรือไม่นั้น นายมาริษ ชี้แจงว่า ไทยไม่ต้องการให้ประเทศอื่น ๆ เข้ามาดำเนินการ และต้องการให้กลไก 2 ประเทศเจรจา ซึ่งไม่จำเป็นต้องไปถึงกฎบัตรอาเซียน เพราะการใช้ข้อมูลข่าวสารเท็จของกัมพูชา ก็ถือเป็นการผิดเงื่อนไขของการหยุดยิงที่ตกลงกันที่ประเทศมาเลเซียด้วย ซึ่งการที่ประเทศไทยเรียกร้องต่าง ๆ ก็เกิดแรงกดดันกับกัมพูชาอยู่แล้ว
นายมาริษ ยังชี้แจงถึงกรณีที่กระแสสังคมมองการดำเนินการของประเทศไทยมักเป็นฝ่ายตั้งรับกัมพูชา จะมีการปรับแผนเป็นเชิงรุกหรือไม่ เช่นอย่างการนำคณะทูตลงพื้นที่ที่ช้ากว่ากัมพูชาดำเนินการว่า การพาคณะทูตลงพื้นที่นั้น จะต้องมั่นใจว่า การลงพื้นที่จะต้องปลอดภัย เพราะไทยไม่ได้มีพฤติกรรมการโจมตีพลเรือนเหมือนกัมพูชา ซึ่งตนได้หารือกับกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงกลาโหมมาโดยตลอด เพื่อพาทุกฝ่ายลงพื้นที่ แต่ก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย และความลำบากของเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ด้วย
พร้อมยอมรับว่า ความเร็วเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ แต่ก็จะต้องมั่นใจในข้อมูลข่าวสาร ไม่ให้โลกมองไทยว่าบิดเบือน หรือพูดได้โดยไม่ต้องรับผิดชอบด้วย ซึ่งประเทศไทย เป็นประเทศมีวุฒิภาวะ จึงต้องยึดกติกา ดังนั้น เรื่องความเร็ว จึงไม่ใช่ชัยชนะ แต่การมีหลักฐานมั่นคง และภาพลักษณ์ที่ดี จะทำให้ไทยได้ทุกอย่างที่ต้องการ ทั้งการหยุดยิง และการเจรจาเพื่อดึงกัมพูชากลับมาเจรจาแก้ปัญหาผ่านกลไกทวิภาคีด้วย.