Goldman Sachs เตือนนักลงทุนอย่าชะล่าใจ หลัง yield premium ตราสารหนี้ทั่วโลกต่ำสุดรอบ 17 ปี
Goldman Sachs เตือนนักลงทุนอย่าชะล่าใจ หลัง yield premium ตราสารหนี้ทั่วโลกต่ำสุดรอบ 17 ปี สะท้อนความมั่นใจของนักลงทุนที่อาจเกินจริง ยังมีปัจจัยเสี่ยงเพียงพอที่ควรคงกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยง
วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เวลา 09.35 น. สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า นักกลยุทธ์ด้านเครดิตของ Goldman Sachs Group Inc. กำลังเตือนให้นักลงทุนป้องกันความเสี่ยง หลังจากที่ส่วนต่างอัตราผลตอบแทน (yield premium) ของตราสารหนี้บริษัททั่วโลกลดลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2550 ในสัปดาห์นี้
จากบันทึกลงวันที่ 31 กรกฎาคม ทีมกลยุทธ์ที่นำโดย Lotfi Karoui ระบุว่า ข้อตกลงการค้าล่าสุดระหว่างสหรัฐกับประเทศคู่ค้าได้ช่วยสร้างความชัดเจนด้านภาษี ทำให้นักลงทุนพร้อมจะมองข้ามการชะลอตัวของการเติบโตในระยะสั้น ตราบเท่าที่ความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ อย่างไรก็ตามเตือนว่าไม่ควรนิ่งนอนใจ
ส่วนต่างอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ระดับ investment-grade ทั่วโลกได้ลดลงเหลือ 79 จุดเบส (basis points) ในวันพฤหัสบดี ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2550 ช่วงเวลาก่อนเกิดวิกฤตการเงินโลก ตามดัชนีของ Bloomberg
แม้ว่า credit spreads จะตึงตัวขึ้น และดัชนี S&P 500 ทำสถิติสูงสุดใหม่ในสัปดาห์นี้ แต่นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ยังคงระมัดระวัง โดยยังไม่ส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ยในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจว่าแรงกดดันเงินเฟ้อจะไม่กลับมาอีก
ทีมกลยุทธ์ ระบุว่า “ยังมีปัจจัยเสี่ยงเชิงลบมากพอ ที่ทำให้ควรมีการป้องกันความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน การเติบโตของเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลงมากกว่าที่คาด แรงกดดันลดเงินเฟ้อ (dis-inflationary pressures) อาจจางหาย หรือความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของเฟด อาจจุดชนวนให้เกิดการขายพันธบัตรระยะยาวอย่างรุนแรง”
นักเศรษฐศาสตร์ของGoldman Sachs ยังคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% ในเดือนกันยายน ตุลาคม และธันวาคมปีนี้ และจะลดอีกสองครั้งในปี 2569 ตามรายงานฉบับเดียวกัน โดยเฟดยังได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐในสัปดาห์นี้ อ้างถึงการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
“นโยบายการค้ากลายเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้มากขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนมีนาคมและเมษายน ซึ่งช่วยให้ตลาดสามารถประเมินความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอยใหม่ได้อย่างมีนัยสำคัญ”รายงานระบุเพิ่มเติม“แม้ว่าประเด็นภาษีจะไม่ใช่ปัจจัยหลักในการกำหนดความเสี่ยงของตลาดอีกต่อไป แต่ผลกระทบของมันจะเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านการแยกแยะภายในแต่ละอุตสาหกรรม (intra-sector dispersion) เมื่อนักลงทุนเริ่มประเมินผลกระทบที่แตกต่างกันตามห่วงโซ่อุปทาน”
อ้างอิง : www.bloomberg.com