"การบินไทย" คืนสนาม SET 5 วัน ราคาพุ่ง 40% ขึ้นท็อป 10 บิ๊กมาร์เก็ตแคป

หลังจากที่หุ้น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI กลับเข้ามาทำการซื้อขาย (รีซูมเทรด) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) อีกครั้ง ในวันที่ 4 ส.ค. 68 ที่ผ่านมา ซึ่งในช่วงเวลาเพียง 5 วันทำการแรก (4 - 8 ส.ค.68) ราคาหุ้นกลับมาดีดบวกรัวๆ อย่างต่อเนื่อง

โดยราคาหุ้น THAI ปิดตลาดล่าสุด (8 ส.ค.68) ที่ระดับ 14.70 บาท เป็นการปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องถึง 4.20 บาท หรือเปลี่ยนแปลง 40% จากราคาเปิดตลาดซื้อขายวันแรก (4 ส.ค.) ที่ระดับ 10.50 บาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Cap.) รวม 416,058.39 ล้านบาท นับเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดลำดับที่ 10 ของตลาดหลักทรัพย์ฯ

แต่หากเทียบกับราคาหุ้น THAI ที่ปิดครั้งสุดท้ายก่อนถูกขึ้นเครื่องหมาย SP พักการซื้อขายเมื่อวันที่ 25 ก.พ. 64 (ในขณะนั้นยังมีผู้ถือหุ้นรายย่อยติดค้างอยู่จำนวนกว่า 1 แสนราย) ที่ราคา 3.32 บาท ก็นับว่าการกลับมาแจ้งเกิดใหม่กว่า 4 ปี เป็นการรอคอยที่คุ้มค่า

โดยเฉพาะผู้ถือหุ้นเดิมที่ใช้สิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน ที่เสนอขายและกำหนดชำระเงินเมื่อช่วงกลางเดือนธ.ค. 67 เนื่องนักลงทุนที่ใช้สิทธิจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน ในอัตรา 1 หุ้นเดิมต่อ 4.5 หุ้นใหม่ ในราคาหุ้นละ 4.48 บาท เท่ากับว่าในวันนี้กำไรส่วนต่างจากราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 69.52% หรือได้กำไรถึง 10.22 บาท/หุ้น

จากราคาหุ้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นของ THAI เป็นอานิสงส์เชิงบวกให้ 2 ธนาคารใหญ่ ที่ติดหนึ่งใน 5 อันดับผู้ถือหุ้นใหญ่สูงสุด ได้แก่ ธนาคาร กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL จำนวน 3,735,201,188 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 13.2% หรือเป็นมูลค่าประมาณ 54,907,457,463.6 บาท

และ ธนาคาร ทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB จำนวน 579,955,895 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 2.05% หรือเป็นมูลค่าราว 8,525,351,656.5 บาท

ไร้แรงกดดันจากการเมือง

นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดมุมมองต่อกรณีการจัดซื้อเครื่องบินลำใหม่ว่า ในส่วนของแผนการจัดหาเครื่องบินของการบินไทยนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ที่ได้มีการตกลงราคาซื้อขายไว้เรียบร้อยแล้ว

โดยเป็นเครื่องบินแบบโบอิ้ง 45 ลำ และในระยะถัดไปจะมีการจัดหาอีก 35 ลำ ซึ่งอาจจะเป็นเครื่องบินแบบโบอิ้ง แต่ในปี 68 นี้ ยังไม่สามารถรับมอบเครื่องบินได้ เนื่องจากผลิตไม่ทัน คาดว่าน่าจะเป็นช่วงต้นปี 71 จากเดิมที่คาดว่าจะเป็นกลางปี 70

ส่วนเงื่อนไขการเจรจาภาษีสหรัฐที่ทีมไทยแลนด์ให้รายละเอียดไว้ว่า จะมีการซื้อเครื่องบินจากสหรัฐฯ เพิ่ม 80 - 90 ลำนั้น การบินไทยได้ซื้อเครื่องบินไปแล้ว 45 ลำ ส่วนอีก 35 ลำ เป็น Options ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของการบินไทยว่าจะตัดสินใจเลือกจำนวนเท่าไหร่ และเป็นเครื่องบินแบบไหน พร้อมยืนยันว่าไม่มีแรงกดดันจากฝ่ายการเมือง

ขณะที่ นายชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การซื้อเครื่องบินของการบินไทยไม่มีแรงกดดันจากฝ่ายการเมืองแน่นอน เพราะตั้งแต่ปลายปี 2566 จนถึงปัจจุบันไม่มีแรงกดดัน หรือความต้องการจากภายนอก การตัดสินใจซื้อมาจากพื้นฐานของธุรกิจจริงๆ ที่สำคัญเรื่องการเจรจาภาษีของทรัมป์มาทีหลัง

ส่วนกรณีว่ามีข้อเสนอให้การบินไทยซื้อเครื่องบินเพิ่มหรือไม่นั้น ก็ย้ำว่าในปัจจุบันยังไม่มี ซึ่งการที่การบินไทยกลับมาอยู่ในจุดนี้ได้ เพราะมาจากความเป็นอิสระและบริหารงานอย่างมืออาชีพ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การบินไทยเติบโตอย่างยั่งยืน

เปิดงบการเงิน

ทั้งนี้"ฐานเศรษฐกิจ" รวบรวมผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (65-67) พบว่า
รายได้รวม : 105,212.31 ล้านบาท, 165,491.79 ล้านบาท และ 192,821.10 ล้านบาท
กำไรสุทธิ : -272.25 ล้านบาท, 28,096.39 ล้านบาท และ -26,933.66 ล้านบาท
กำไรสะสม : -103,848.40 ล้านบาท, -75,879.96 ล้านบาท และ -104,135.78 ล้านบาท
เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด : 34,539.79 ล้านบาท, 52,939.46 ล้านบาท และ 84,212.10 ล้านบาท

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรกปี 68 เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อนนั้น พบว่า
รายได้รวม : 102,009.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6,542.84 ล้านบาท หรือ 6.85% จากปีก่อนที่ 95,466.90 ล้านบาท
กำไรสุทธิ : 21,955.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19,240.3 ล้านบาท หรือ 708.48% จากปีก่อนที่ 2,715.68 ล้านบาท
กำไรสะสม : 21,777.59 ล้านบาท เพื่มขึ้นจากปีก่อนที่ -73,129.18 ล้านบาท
เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสด : 82,693.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26,438.53 ล้านบาท หรือ 46.99% จากปีก่อนที่ 56,254.71 ล้านบาท

นอกจากนี้ จากการรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2/68 ของการบินไทย ต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ระบุว่า การบินไทยมีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 44,828 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้รวม 43,981 ล้านบาท โดยบริษัทฯ ได้เพิ่มความถี่เที่ยวบินในเส้นทางที่เป็นที่นิยมเช่น เซี่ยงไฮ้ ฮ่องกง และเดนปาซาร์ เป็นต้น

ส่งผลให้มีผู้โดยสารรวมในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 เป็นจำนวน 3.97 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.2% และมีอัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ยเท่ากับ 77.0% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 73.2%

บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนต้นทุนทางการเงิน (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) 10,180 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.8% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ 5,925 ล้านบาท และมีอัตรากำไร (EBIT Margin) อยู่ที่ 22.7%

ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 บริษัทฯ มีเครื่องบินที่ใช้ทำการบินทั้งสิ้น 78 ลำ สำหรับ งวด 6 เดือนแรกของปี 2568 บริษัทฯ มีรายได้รวม (ไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว) ทั้งสิ้น 96,452 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 7.2% มีอัตราการใช้เครื่องบินเฉลี่ย 13.6 ชั่วโมง/ลำ/วัน มีปริมาณการผลิตด้านผู้โดยสาร (ASK) เท่ากับ 35,281 ล้านที่นั่ง-กิโลเมตร เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 15.2%

มีปริมาณการขนส่งผู้โดยสาร (RPK) เท่ากับ 28,297 ล้านคน-กิโลเมตร เพิ่มขึ้น 18.3% มีอัตราส่วนการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) เฉลี่ย 80.2 % สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งเฉลี่ยที่ 78.1% และมีจำนวนผู้โดยสารที่ทำการขนส่งรวม 8.30 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 0.62 ล้านคน หรือคิดเป็น 8.1%

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าและสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและราคาน้ำมัน ตลอดจนการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว ยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามต่อไปในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เพื่อประเมินความต่อเนื่องของอัตราการเติบโต

อนึ่ง ราคาหุ้นการบินไทย วันนี้ (13 ส.ค.68) ณ เวลา 11.09 น. อยู่ที่ระดับ 15.80 บาท ยืนแดนบวกอย่างต่อเนื่อง โดบราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 1.10 บาท หรือเปลี่ยนแปลง 7.48% จากราคาปิดตลาดก่อนหน้า มีมูลค่าการซื้อขายที่ระดับ 2,046.29 ล้านบาท