แอฟริกาหวั่นผู้ป่วย HIV เพิ่ม หลังสหรัฐฯ ตัดงบวิจัยวัคซีน
เพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่นักวิทยาศาสตร์ในแอฟริกาใต้จะเริ่มทดลองวัคซีน HIV กับมนุษย์อย่างเป็นทางการ และมีความหวังสูงสำหรับอีกก้าวหนึ่งในการจำกัดการระบาดใหญ่ที่ร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ กลับมีอีเมลฉบับหนึ่งกลับมาถึง พร้อมข้อความสั่งให้หยุดงานทั้งหมดทันที โดยอีเมลฉบับนั้นแจ้งว่า สหรัฐอเมริกาภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ตัดงบประมาณสนับสนุนทั้งหมดที่เคยให้ไว้
ข่าวดังกล่าวสร้างความเสียหายและผิดหวังอย่างรุนแรงต่อทีมนักวิจัยในแอฟริกาใต้ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อ HIV มากที่สุดในโลก และถือเป็นแนวหน้าของการพัฒนายาและวัคซีนต้านไวรัสร้ายนี้
โครงการวิจัยดังกล่าวมีชื่อว่า BRILLIANT ซึ่งวางแผนจะใช้ความหลากหลายทางพันธุกรรมในภูมิภาคนี้และความเชี่ยวชาญของนักวิจัยท้องถิ่นในการพัฒนาเทคโนโลยีที่อาจช่วยชีวิตผู้คนทั่วโลก
ดร.เกลนดา เกรย์ หัวหน้าโครงการ BRILLIANT กล่าวว่า แอฟริกาเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนายา HIV มาหลายปี การที่สหรัฐฯ ตัดงบในครั้งนี้ คือการกระทบความสามารถในการวิจัยของทวีปนี้อย่างรุนแรง
ความคืบหน้าที่โดดเด่นที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เช่น การทดลองทางคลินิกของ ยา lenacapavir ซึ่งเป็นยาฉีดป้องกัน HIV เพียงปีละ 2 ครั้ง โดยผ่านการอนุมัติจากสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) แล้ว หนึ่งในการทดลองสำคัญก็คือในกลุ่มเยาวชนชาวแอฟริกาใต้
ศาสตราจารย์อับดุลลาห์ เอลี แห่งมหาวิทยาลัยวิทวอเตอร์สแรนด์ ซึ่งนำทีมวิจัยในห้องทดลองวัคซีน HIV กล่าวว่า วัคซีนที่พัฒนาขึ้นแสดงให้เห็นถึงการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่มีแนวโน้มดีมาก แต่ทั้งหมดต้องหยุดชะงักลงทันทีเมื่อเงินทุนหายไป
ขณะนี้ทีมวิจัยกำลังเร่งหางบประมาณจากแหล่งอื่นเพื่อรักษาโครงการให้รอด โดยรัฐบาลแอฟริกาใต้ก็ออกมายอมรับว่าเป็นไปได้ยากมากที่จะหาทุนมาทดแทนเงินจากสหรัฐฯ
และนั่นอาจหมายถึง การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อ HIV การเข้าถึงยาต้านไวรัสที่ลดลง และระบบสาธารณสุขที่ล่มสลาย
รัฐบาลเปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในโครงการ HIV อย่างน้อย 8,000 คนถูกเลิกจ้างแล้ว รวมถึงเจ้าหน้าที่เก็บข้อมูล ผู้ติดตามผู้ป่วย และที่ปรึกษาด้าน HIV ที่เคยเข้าถึงชุมชนห่างไกล
นี่จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการตัดงบประมาณวิจัยเท่านั้น แต่เป็นการถอยหลังครั้งใหญ่ในการต่อสู้กับหนึ่งในโรคระบาดร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง