ทรัมป์จ่อรีดภาษี 30% จาก ‘อียู-เม็กซิโก’ ชี้สหรัฐฯ ขาดดุลจนเกินยื่นหมูยื่นแมว
นิวยอร์ก, 13 ก.ค. (ซินหัว) — เมื่อวันเสาร์ (12 ก.ค.) โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศแผนการจัดเก็บภาษีศุลกากรในอัตราร้อยละ 30 กับสหภาพยุโรป (EU) และเม็กซิโกตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. โดยมีการประกาศภาษีศุลกากรอัตราใหม่ผ่านจดหมายที่ส่งถึงเออร์ซูลา ฟอน เดอร์ ลาเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป และเคลาเดีย ไชน์บัม ประธานาธิบดีเม็กซิโก รวมถึงโพสต์บนทรูธ โซเชียล แพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ของทรัมป์
ทรัมป์วิจารณ์เม็กซิโกว่า “ล้มเหลวจะหยุดกลุ่มพันธมิตร” ไม่ให้ลักลอบนำยาเสพติดต่างๆ รวมถึงเฟนทานิล เข้าสู่สหรัฐฯ และกล่าวหาว่าเม็กซิโกไม่ร่วมมือกับสหรัฐฯ อย่างเพียงพอในการยับยั้งการอพยพผิดกฎหมาย ส่วนสหภาพยุโรป ทรัมป์กล่าวหาว่าการใช้ทั้งมาตรการภาษีศุลกากรและที่ไม่ใช่ภาษีศุลกากรของสหภาพยุโรปสร้าง “การขาดดุลทางการค้าระยะยาว ขนาดใหญ่ และฝังแน่น” ซึ่งไกลเกินกว่าจะใช้วิธียื่นหมูยื่นแมวแล้ว
ทั้งนี้ ทรัมป์ใช้คำส่วนใหญ่เหมือนกับจดหมายที่เขาส่งถึงผู้นำประเทศต่างๆ เมื่อต้นสัปดาห์นี้ พร้อมเตือนว่าอย่าตอบโต้และกระตุ้นการโยกย้ายบริษัทกลับสู่สหรัฐฯ แต่เสริมว่าอาจปรับอัตราภาษีศุลกากรหากประเทศเหล่านั้นยอมร่วมมือ โดยช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ส่งจดหมายลักษณะเดียวกันถึงคู่ค้าของสหรัฐฯ มากกว่า 20 ฉบับ รวมถึงแคนาดา เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และบราซิล โดยตะกร้าอัตราภาษีศุลกากรร้อยละ 20-50
ฟอน เดอร์ ลาเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ตอบโต้การประกาศของทรัมป์อย่างรวดเร็ว ระบุว่าเปิดกว้างสู่การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ เพื่อบรรลุข้อตกลงก่อนกำหนดเส้นตาย แต่จะไม่ละทิ้งการใช้มาตรการตอบโต้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของสหภาพยุโรป โดยเธอชี้ว่าการจัดเก็บภาษีศุลกากรในอัตราร้อยละ 30 กับสินค้าส่งออกจากสหภาพยุโรปจะกระทบห่วงโซ่อุปทานข้ามแอตแลนติกอย่างมาก
ส่วนแถลงการณ์ร่วมจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเศรษฐกิจและกระทรวงการต่างประเทศของเม็กซิโกกล่าวว่าภาษีศุลกากรดังกล่าว “ไม่เป็นธรรม” โดยเม็กซิโกกำลังเจรจากับสหรัฐฯ แล้วเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากรที่จะจัดเก็บวันที่ 1 ส.ค. นี้