โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

“บัตรประจำตัวประชาชน” มีพัฒนาการอย่างไร ใช้เลข 13 หลักตอนไหน ฯลฯ

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 7 ชั่วโมงที่ผ่านมา
บัตรประจำชาชนที่ใช้นานที่สุดระหว่างปี พ.ศ. 2506-2530 และแพร่หลายที่สุด (ภาพประกอบจาก http://stat.bora.dopa.go.th)

ตั้งแต่แรกใช้ “บัตรประจำตัวประชาชน” หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “บัตรประชาชน” เมื่อ พ.ศ. 2486 จนถึงปัจจุบัน บัตรประชาชนเป็นเอกสารที่ราชการออกให้เฉพาะผู้มีสัญชาติไทย โดยช่วงอายุที่ต้องมีบัตรประชาชนจะเปลี่ยนไปตาม “พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน” ที่บังคับใช้ในเวลานั้น ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ระหว่าง 15-70 ปี

โดยลักษณะและคุณสมบัติของ “บัตรประจำตัวประชาชน” ก็เปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยีเวลานั้น

บัตรประชาชน รุ่นแรก

ลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าพับเป็น 4 ตอน (ขนาด 4 x 3 นิ้ว) มีทั้งหมด 8 หน้า คล้ายบัตรยืมหนังสือของห้องสมุด พื้นบัตรเป็นสีฟ้าอมเขียวพิมพ์ลายเทพนม และแผนที่ประเทศไทย “ปกหน้า” มีรูปครุฑ และคําว่า “บัตรประจําตัวประชาชน” พร้อมเลขทะเบียนที่ออกบัตร “ปกหลัง” พิมพ์คําเตือนให้พกติดตัวและแสดงต่อเจ้าหน้าที่ได้เสมอ, ต้องขอเปลี่ยนบัตรเมื่อหมดอายุ, ต้องแจ้งเปลี่ยนแปลงเมื่อเปลี่ยนชื่อ สกุล หรือที่อยู่ ฯลฯ

ส่วนที่เหลืออีก 6 หน้านั้น หน้า 1-3 เป็นข้อความเกี่ยวกับผู้ถือบัตร เช่น ชื่อ-นามสกุล, วันเดือนปีเกิด, อายุ, รูปพรรณ, เชื้อชาติ สัญชาติ, ชื่อบิดา มารดา ภริยาหรือสามี, รูปถ่ายผู้ถือบัตรขนาด 2 นิ้ว, ลายมือ, ลายพิมพ์นิ้วหัวแม่มือขวา, สถานที่เกิด, ที่อยู่ ฯลฯ ส่วนหน้าที่ 4-6 สําหรับเจ้าหน้าที่เพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลงรายการของผู้ถือบัตร

บัตรมีอายุ 10 ปี เมื่อบัตรหมดอายุต้องเสียค่าธรรมเนียมไม่เกิน 25 สตางค์

บัตรประชาชน รุ่นที่ 2

บัตรรุ่นนี้ออกมาเพื่อแก้ปัญหาบัตรรุ่นแรกที่มีขนาดใหญ่ไม่สะดวกในการพกพา โดยลดขนาดลงเหลือ 6 x 9 เซนติเมตร ลักษณะเป็นบัตรขาวดำเคลือบพลาสติกใส เริ่มใช้ตั้งแต่ พ.ศ. 2506-2530 ด้วยระยะเวลาการใช้ที่ยาวนานจึงเป็นบัตรประชาชนแพร่หลายที่สุด ประเมินว่ามีการใช้บัตรรุ่นนี้ราว 100 ล้านใบ

“ด้านหน้า” บัตร มีข้อความ “สํานักงานทะเบียนบัตรประจําตัวประชาชน กระทรวงมหาดไทย” มีตราครุฑอยู่ตรงกลางบัตร ระบุวันที่ออกบัตร และวันหมดอายุ “ด้านหลัง” มีชื่อตัว ชื่อสกุล วันเดือนปีเกิด อายุ ที่อยู่ รูปถ่ายที่มีเส้นบอกส่วนสูงเป็นฉากหลัง ใต้รูปจะมีรหัสแสดงอําเภอที่ออกบัตร และเลขทะเบียนบัตร

บัตรมีอายุ 6 ปี และเก็บค่าธรรมเนียม 5 บาท

บัตรประชาชน รุ่นที่ 3

บัตรรุ่นนี้เริ่มใช้เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2531 ลักษณคล้ายบัตรรุ่นก่อน แต่ขนาดเล็กลง คือ ขนาด 5.4 x 8.4 เซนติเมตร และเปลี่ยนรูปถ่ายเป็นสี่สี ตัวบัตรเป็นสีขาว มีลายพื้นเป็นเส้นสีฟ้าทั่วบัตรทั้ง 2 ด้าน และเคลือบวัสดุพิเศษป้องกันการปลอม รายละเอียดอื่นๆ ไม่แตกต่างจากบัตรรุ่นก่อนมากนัก

แต่ที่สำคัญคือ เริ่มมีการใช้ “เลขประจำตัว 13 หลัก” เป็นครั้งแรกในบัตรรุ่นนี้

บัตรประชาชน รุ่นที่ 4

เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี บัตรรุ่นนี้จึงมีพัฒนาการที่ “ก้าวกระโดด” จากรุ่นก่อนหลายอย่าง เช่น สามารถรับบัตรได้ในวันที่ทำ จากเดิมต้องออกใบ บ.ป. 2 หรือ “ใบเหลือง” และ “บัตรแบบแถบเหล็ก”

ลักษณะบัตรรุ่นนี้คล้ายบัตรเครดิต ทําด้วยพลาสติก มีความยืดหยุ่น และแข็งแรง มีขนาด 5.4 x 8.6 เซนติเมตร พื้นบัตรทั้ง 2 ด้านเป็นสีขาว มีลายสีฟ้า รายละเอียดอื่นๆ ไม่ต่างจากบัตรรุ่นก่อน แต่มีเพิ่ม “หมู่โลหิต” เริ่มให้บริการทำบัตรรุ่นนี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2539

บัตรประชาชน รุ่นที่ 5

บัตรรุ่นนี้เป็น “บัตรสมาร์ทการ์ด รุ่นนำร่อง” โดยรวมคล้ายบัตรประชาชนรุ่นที่ 4 แต่มีการเพิ่ม ชื่อ-นามสกุล เจ้าของบัตรเป็นภาษาอังกฤษ ที่สำคัญคือเพิ่ม “ไมโครชิพ” บันทึกข้อมูล เพื่อให้การใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียวสามารถติดต่อหน่วยงานราชการต่างๆ เช่น ประกันสังคม, โรงพยาบาล ฯลฯ

เริ่มใช้ 1 เมษายน 2547 แต่เนื่องจากเป็นการนำร่อง จึงมีจำนวน 10,000 ใบเท่านั้น

บัตรประชาชน รุ่นที่ 6

บัตรรุ่นนี้เป็น “บัตรสมาร์ทการ์ด รุ่นที่ 1” ใช้ระหว่างปี 2548-2549 มีพื้นที่บันทึกข้อมูล 28 กิโลไบต์ ข้อมูลที่เก็บในบัตรมีเฉพาะข้อมูลทะเบียนราษฎร ของกรมการปกครองเท่านั้น

บัตรประชาชน รุ่นที่ 7

เริ่มออกบัตรตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2551 ถึงเดือนพฤษภาคม 2553 เป็นบัตรที่ใช้ประโยชน์มากกว่ารุ่นก่อน บรรจุข้อมูลที่ประชาชนได้รับประโยชน์จํานวนมาก คือ 1. ข้อมูลทะเบียนราษฎร ของกรมการปกครอง 2. ข้อมูลของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เช่น สิทธิการรักษาพยาบาล, สถานบริการหลัก, การจ่ายเงิน ฯลฯ 3. ข้อมูลหน่วยบัญชาการกำลังสำรอง 4. ข้อมูลองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก 5. ข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร

ส่วนบัตรประชาชนรุ่นต่อๆ มา คือรุ่นที่ 8, 9, 10 และ 11 นั้น (ที่ใช้กันถึงปี 2559) โดยทั่วไปไม่ต่างจากนี้เท่าใดนัก

คลิกอ่านเพิ่ม:

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่

อ้างอิง

โชคสุข กรกิตติชัย. บัตรประจำตัวประชาชน, สำนักวิชาการ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร. 2559.

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 25 สิงหาคม 2568.

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : “บัตรประจำตัวประชาชน” มีพัฒนาการอย่างไร ใช้เลข 13 หลักตอนไหน ฯลฯ

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ศิลปวัฒนธรรม

“ส่อนขวัญ” พิธีกรรมดั้งเดิมของอีสาน ช่วยเรียกขวัญให้กลับคืน

5 ชั่วโมงที่ผ่านมา

รัชกาลที่ 1-3 ทรงคัดเลือก “ขุนนางวังหน้า” อย่างไร ไม่ให้ตีกับขุนนางวังหลวง?

7 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

เทน้ำเดือดลงในแก้ว 5 ประเภทนี้ เหมือนผสม "ยาพิษ" ด้วยตัวเอง แต่หลายคนยังคงใช้มันอยู่

sanook.com

2 ภาพวาด “สงครามส่งด่วน” ยอดประมูลรวมทะลุ 7.6 ล้าน

เดลินิวส์

SX2025 ชวนหาทางรอดยุคโลกรวน เน้นร่วมมือ-ปรับตัว ใช้ปรัชญาพอเพียงระดับสากล

กรุงเทพธุรกิจ

BIG FISH SOLO ART EXHIBITION

เดลินิวส์

เปิดตัวสมุดภาพประวัติศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ 39 พรรษา เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ

เดลินิวส์

ถ่ายทอดสด นิวคาสเซิ่ล พบ ลิเวอร์พูล พรีเมียร์ลีก วันนี้ 25 ส.ค.68

PostToday

V วง BTS ได้เป็นพรีเซนเตอร์คนใหม่ของแบรนด์เสื้อผ้าเอาต์ดอร์ Snow Peak

THE STANDARD

นิทรรศการ Yayoi Kusama จะถูกจัดขึ้นหลายพิพิธภัณฑ์ทั่วยุโรป ตั้งแต่ปีนี้ถึง 2027

THE STANDARD

ข่าวและบทความยอดนิยม

“บัตรประจำตัวประชาชน” มีพัฒนาการอย่างไร ใช้เลข 13 หลักตอนไหน ฯลฯ

ศิลปวัฒนธรรม

รัชกาลที่ 1-3 ทรงคัดเลือก “ขุนนางวังหน้า” อย่างไร ไม่ให้ตีกับขุนนางวังหลวง?

ศิลปวัฒนธรรม

10 ขุนนางไฮโซกลุ่มแรกของไทย ที่ใช้ “ราชทินนาม” เป็น “นามสกุล” มีใครบ้าง?

ศิลปวัฒนธรรม
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...