โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

วิชารัฐมนตรี (ตอนจบ)

ไทยโพสต์

อัพเดต 48 นาทีที่แล้ว • เผยแพร่ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เนื้อหาหนังสือ "วิชารัฐมนตรี" ศาสตร์และศิลป์ของ "การนำ" ผ่านมุมมองเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เขียนโดย ดร.ยุวดี คาดการณ์ไกล และณัฐธิดา เย็นบำรุง จัดทำโดยมูลนิธิสถาบันสร้างสรรค์ปัญญาสาธารณะ มีทั้งหมด 6 บท รวม 156 หน้า

บทที่ 6

ผู้นำแบบเอนก เหล่าธรรมทัศน์

4.การสร้างสิ่งที่ดีร่วมกันและยอมรับในความดีของส่วนรวม

การนำด้วยปัญญาจะมีความโน้มเอียงในการนำเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม และมุ่งเน้นไปที่ความดีร่วมกันของผู้บริหารและบุคลากรขององค์กร

เอนก เหล่าธรรมทัศน์เชื่อมั่นในพลังของความร่วมมือและความสามัคคี การเปิดกว้างให้บุคลากรในกระทรวง หน่วยงานภายนอก รวมทั้งภาคส่วนอื่นๆ ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างสิ่งที่ดีร่วมกัน เชื่อมั่นในศักยภาพของคนว่าทำได้ไปจนถึงการมีทัศนคติว่าคนไทยเป็นคนเก่ง สิ่งสำคัญของผู้นำในการสร้างสิ่งที่ดีร่วมกับคนอื่น คือ “การเปิดกว้าง” ผู้นำต้องไม่ทำงานแค่กับคนสนิทไม่กี่คน แต่ต้องเปิดกว้างให้กับคนใหม่ๆ ได้เข้ามาทำงาน เมื่อความสำเร็จเกิดขึ้น ต้องให้เครดิตความสำเร็จกับคนอื่น “ถ้างานสำเร็จ ให้เป็นผลงานของทีม แต่ถ้างานล้มเหลว ผู้นำต้องเป็นคนรับผิดชอบเอง”

  • เชื่อมั่นในพลังของความร่วมมือและความสามัคคี

เอนก เหล่าธรรมทัศน์เชื่อว่า พลังของความร่วมมือและความสามัคคีคือกุญแจสำคัญของความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการบริหารองค์กร กระทรวง หรือประเทศชาติ ผู้นำหลายคนเลือกที่จะทำงานเพียงลำพังหรืออยู่ในกลุ่มที่คุ้นเคย เพราะง่ายต่อการจัดการ แต่ในระดับภาครัฐ แนวคิดเช่นนี้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา ผู้นำต้องเปิดกว้าง เชื่อมั่นในศักยภาพของทุกภาคส่วน และไม่มองใครเป็นศัตรู ตัวอย่าง “ภาคเอกชนไทย” ที่มักถูกมองว่าเป็นฝ่ายที่แสวงหากำไรหรือต้องการเพียงผลประโยชน์ ในด้านหนึ่งอาจจะเป็นแบบนั้น แต่ผู้นำระดับรัฐมนตรีต้องมีทัศนคติว่า ภาคเอกชนคือพลังขับเคลื่อนสำคัญของการพัฒนาประเทศ พวกเขาเองก็มีความปรารถนาดีต่อประเทศด้วยเช่นกัน ผู้นำที่ดีต้อง “ไม่กีดกันใคร” ควรเชื่อมโยงภาคส่วนต่างๆ ให้มาทำงานร่วมกัน หากภาครัฐและภาคเอกชนยังคงมีทัศนะที่มีความไม่ไว้วางใจ โอกาสในการพัฒนาจะถูกจำกัด แต่ถ้ารัฐบาลมองภาคเอกชนเป็นพันธมิตร และเปิดโอกาสให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาอย่างแท้จริง ความร่วมมือนี้จะนำไปสู่การพัฒนาที่มีพลัง มีประสิทธิภาพ และมีความยั่งยืนมากขึ้น

  • มองคนในมุมบวกและเชื่อว่าทุกคนมีศักยภาพเสมอในการเปลี่ยนแปลง

เอนก เหล่าธรรมทัศน์มีความคิดว่า “คนไทยเป็นคนเก่ง” อยู่เสมอ โดยพบว่าไม่ใช่แค่เก่งเฉพาะกลุ่ม หรือจำกัดอยู่แค่ในเมืองใหญ่ แต่คนไทยทั่วประเทศ ล้วนมีศักยภาพที่สามารถพัฒนาและสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ คนยิ่งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ยิ่งเก่ง ยิ่งต้องดิ้นรนและปรับตัว คนเหล่านี้มีความสามารถและไม่ควรถูกมองข้าม ในหลายเวทีที่เขาได้รับเชิญกล่าวปาฐกถา เขามักตั้งคำถามว่า “เราคิดว่าคนไทยเก่งหรือไม่” คำตอบส่วนใหญ่ที่ได้รับคือ คนไทยเก่งบ้าง ไม่เก่งบ้าง หรือบางครั้งก็มองว่าคนไทยเก่งเพียงบางเรื่อง เขาย้ำว่า มุมมองเช่นนี้ต้องถูกเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะในระดับผู้นำประเทศหรือรัฐมนตรีต้องมีความเชื่อมั่นว่าคนไทยมีศักยภาพที่จะพัฒนาได้

ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว. เขาต้องการเปลี่ยนทัศนคติของคนไทยที่ว่า “ไทยไม่เก่งวิทยาศาสตร์” เขามองว่าประเทศไทยนั้นสามารถเป็น “ชาติวิทยาศาสตร์” ได้ การกล่าวด้วยทัศนะเช่นนี้ออกสู่สาธารณะ อาจทำให้หลายคนขมวดคิ้ว แม้แต่ข้าราชการในกระทรวง อว.เองก็เคยตั้งคำถาม แต่เมื่อพิจารณามองลึกลงไป จะพบว่าคนไทยมีความสามารถในด้านนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ ดังนั้น ผู้นำต้องเชื่อว่า คนไทยเก่งวิทยาศาสตร์ เมื่อผู้นำเชื่อมั่นในศักยภาพของคนไทยแล้ว จะเป็นแรงช่วยผลักดันให้เกิดการลงทุนในงานวิจัย สนับสนุนให้นักวิทยาศาสตร์ไทยสามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมด้วยตัวเอง และสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าได้

  • ให้ผ่อนปรนคนอื่น แต่เข้มงวดตัวเอง

การนำด้วยปัญญานั้น ไม่ใช่การเคร่งครัดกับผู้อื่น แต่ควรผ่อนปรนต่อคนรอบข้าง ในขณะเดียวกันควรเข้มงวดกับตัวเอง เอนก เหล่าธรรมทัศน์มองว่าความผิดพลาดเกิดขึ้นได้เสมอ และหน้าที่ของผู้นำไม่ใช่การหาคนผิด แต่ควรมองหาทางแก้ไข และให้โอกาสคนที่ตั้งใจทำงาน แทนที่จะใช้เวลาตามหาว่าใครเป็นต้นเหตุของปัญหา ผู้นำควรตั้งคำถามว่า “เราจะปรับปรุงอย่างไร?” ผู้นำเปิดโอกาสให้คนทำผิดพลาดได้ และเรียนรู้จากสิ่งนั้น องค์กรก็จะสามารถพัฒนาได้เร็วกว่า นอกจากนี้ ผู้นำต้องประพฤติตนเป็นแบบอย่าง นั่นหมายถึง ผู้นำต้องเข้มงวดกับตัวเอง มากกว่าเข้มงวดกับคนอื่น ต้องมีวินัย ต้องพร้อมรับผิด และต้องให้เครดิตความสำเร็จกับคนอื่น

5.การสร้างความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือ

“การวางตัว” ของผู้นำเป็นศิลปะสำคัญที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับคนรอบข้างและผู้ร่วมงาน การนำด้วยปัญญานั้น ผู้นำต้องรู้จักวางตัวให้เหมาะสมกับทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็น ผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน หรือผู้ใต้บังคับบัญชา เพื่อสร้างบรรยากาศที่เกื้อหนุนต่อการทำงาน และนำไปสู่การทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น เอนก เหล่าธรรมทัศน์เป็นผู้นำที่เข้าใจถึงความสำคัญของการวางตัวกับบุคคลต่างๆ อย่างเหมาะสม เขาไม่ได้มองว่าตนเองเป็นศูนย์กลางของอำนาจ แต่เป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ต้องมีการประสานงานและสร้างความร่วมมือ ให้ความสำคัญกับการวางตัวอย่างสมดุล เคารพผู้อยู่เหนือ สนับสนุนผู้ร่วมงาน และดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างจริงใจ

  • เคารพผู้อยู่เหนือ

เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ให้ความสำคัญสูงสุดกับการเคารพต่อผู้ที่อยู่เหนือกว่า โดยเฉพาะพระบรมวงศานุวงศ์ หรือ “เจ้านาย” แห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ซึ่งมีโอกาสเข้าเฝ้าฯ และถวายงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาทหลายครั้ง เขาปฏิบัติตัวด้วยความเคารพและเทิดทูนสูงสุด พร้อมทั้งปฏิบัติตามพระราชดำรัสและพระราชดำริด้วยความมุ่งมั่น ไม่เพียงแต่ทำด้วยตนเองเท่านั้น แต่ยังประพฤติตนเป็นแบบอย่างให้ผู้ร่วมงานได้เห็นว่า การถวายงานรับใช้ต้องทำอย่างสุดกำลัง

นอกจากนี้ เขายังให้ความสำคัญกับการเคารพต่อผู้นำรัฐบาล โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็น “หัวหน้า” ของคณะรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่ดีควรเป็น “ลูกน้องที่ดี” นั่นก็คือ การทำงานภายใต้คำสั่ง “นาย” อย่างเต็มที่ เมื่อนายเรียกพบแม้ติดภารกิจก็ต้องไปพบนายก่อน พร้อมรับฟังคำแนะนำ และมุ่งทำงานผลักดันนโยบายของรัฐบาลให้สำเร็จ

  • สนับสนุนและให้เกียรติผู้ร่วมงาน

รัฐมนตรีร่วมรัฐบาลจาก 19 กระทรวง ซึ่งมีหน้าที่ทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาประเทศ เขามองว่า รัฐมนตรีแต่ละคนไม่ใช่คู่แข่งกัน แต่เป็นทีมเดียวกัน ที่มีภารกิจในการขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า ควรให้เกียรติและสนับสนุนรัฐมนตรีคนอื่นๆ โดยมองว่าทุกคนมีความตั้งใจดี และมีเป้าหมายเดียวกันคือการพัฒนาชาติ พร้อมช่วยเหลือ สนับสนุน และไม่ขัดขวางแนวคิดของรัฐมนตรีคนอื่น หากแนวทางนั้นเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม นอกจากนี้ เขายังให้ความสำคัญกับการสร้างบรรยากาศการทำงานที่เป็นมิตรในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี โดยการพูดให้น้อยเพื่อให้คนอื่นได้แสดงความคิดเห็น เมื่อครั้นต้องแสดงความเห็น มักเลือกใช้ การสื่อสารเชิงบวก และการถกเถียงเชิงสร้างสรรค์ มากกว่าการโต้แย้งที่สร้างความขัดแย้ง แนวทางของเขาสะท้อนให้เห็นถึง “การนำด้วยปัญญาที่ให้เกียรติและเคารพผู้อื่น” ไม่ว่าความคิดเห็นนั้นจะแตกต่างกันเพียงใด จะช่วยให้เกิดบรรยากาศการทำงานที่ดีในการพัฒนาประเทศ

  • ดูแลผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา

“การนำด้วยปัญญา” แท้จริงแล้วไม่ใช่เพียงมีคนนำและสั่งอย่างเดียว แต่ควรเป็นคนที่ดูแลและสนับสนุนให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำงานได้อย่างดีที่สุดด้วย นี่คือหลักการที่เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ยึดถือในการทำงานกับผู้บริหารและบุคลากรในกระทรวง อว. เขาพร้อมสนับสนุนและดูแลลูกน้องอย่างเต็มที่ คำสั่งของรัฐมนตรี หรือการทำงานของกระทรวงจะสำเร็จไม่ได้ หากขาด “มดงาน” ที่ดี เขาจึงเป็น “นาย” ที่ดูแลลูกน้องทุกคนเสมอ พร้อมช่วยเหลือ ให้คำปรึกษา ให้โอกาส และส่งเสริมการเติบโตของลูกน้องที่ช่วยงานใกล้ชิด อีกทั้งยังมีแนวคิดที่เปิดกว้างในเรื่อง “โอกาสในการทำงาน” โดยไม่ได้ปิดกั้นให้เฉพาะคนเดิมๆ หรือพรรคพวกของตัวเอง แต่เปิดโอกาสให้ทุกคนในองค์กรและนอกองค์กร เขาคิดเสมอว่า “หากใครเก่งและพร้อมทำงาน ก็ควรได้รับโอกาส” พร้อมรับมาเป็น “ผู้ร่วมงาน” เพื่อให้มีคนเก่งที่หลากหลายได้เข้ามาร่วมทำงานให้กับประเทศ

6.การสร้างประสบการณ์เชิงบวก

รัฐมนตรีหรือผู้นำควรมีมุมมองและบุคลิกในการสร้างประสบการณ์เชิงบวกให้กับผู้คน มีมุมมองที่คิดแล้วทำให้ตัวเองเข้มแข็ง คนรอบข้างเข้มแข็ง ข้าราชการเข้มแข็ง และทำให้คนไทยเข้มแข็ง อยู่บนความหวัง ความศรัทธาอยู่เสมอ ประสบการณ์เชิงบวกของเอนก เหล่าธรรมทัศน์ คือ การสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนที่อยู่รอบตัวของเขามีความคิดที่ว่า ให้มองโอกาสมากกว่าปัญหาเสมอ มองทุกวิกฤตเป็นโอกาสในการพัฒนา และมีมุมมองที่ไม่ยอมแพ้ ไม่ท้อแท้ หลายครั้งการทำงานก็เต็มไปด้วยความไม่พร้อม เต็มไปด้วยอุปสรรค หากเรามัวแต่ติดอยู่กับเรื่องเมื่อไม่พร้อมก็ทำไม่สำเร็จ แต่ควรเปลี่ยนมุมมองว่า สิ่งที่ไม่พร้อมก็ชนะสิ่งที่พร้อมได้ คนไม่พร้อมก็ชนะคนไม่พร้อมได้ ประเทศที่ไม่พร้อมก็ชนะประเทศที่พร้อมได้ การคิดเช่นนี้ก็จะทำให้มีกำลังใจและมุ่งมั่นในการทำงาน

เขามองว่า ไม่ว่าจะเป็นการทำงานและการดำเนินชีวิต ควรเริ่มจากทัศนะที่มองเห็น “โอกาส” มากกว่าปัญหา อย่าจมอยู่กับข้อจำกัดหรืออุปสรรค การเป็นผู้นำที่ใช้ปัญญาไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาไปวันๆ หากมองให้ลึกซึ้ง ทุกปัญหาคือการ “ปรุงแต่ง” อย่างหนึ่ง ถ้าเราสามารถปรุงแต่งมันเป็นปัญหาได้ เราก็สามารถปรุงแต่งให้มันเป็นโอกาสได้เช่นกัน แนวคิดนี้เป็นหลักที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคยตรัสไว้เกี่ยวกับ “ทุกข์” ว่าแทนที่จะจมอยู่กับความทุกข์หรือปัญหา ควรพิจารณาว่าจะปรับตัวและสร้างโอกาสจากมันอย่างไร หากมัวแต่แก้ปัญหา ปัญหาก็ไม่มีวันหมดไป ผู้นำต้องมองทุกสถานการณ์ให้เป็นโอกาสที่จะปรับปรุง เปลี่ยนแปลง และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ การนำองค์กรหรือประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า ต้องเริ่มจากการสร้างโอกาสให้กับหน่วยงานและสังคม การเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสคือคุณลักษณะสำคัญของผู้นำที่แท้จริง ซึ่งจะทำให้สามารถก้าวข้ามอุปสรรคและพัฒนาประเทศไปสู่อนาคตที่ดีกว่าเดิมได้

หลายคนเชื่อว่าการจะทำสิ่งใดให้สำเร็จต้องรอให้ทุกอย่างพร้อมก่อน ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ หรือบุคลากร เขากลับมองว่า “ความพร้อมไม่มีอยู่จริง” และในความเป็นจริง ความพร้อมสมบูรณ์แบบนั้นไม่มีวันมาถึง การปฏิรูปหรือการขับเคลื่อนนโยบายที่ยิ่งใหญ่ ต้องเกิดขึ้นแม้จะอยู่บนเงื่อนไขของความไม่พร้อม ในฐานะรัฐมนตรีกระทรวง อว. เขาได้ยินคำว่า “ยังไม่พร้อม” ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าจะเป็น “ไม่มีงบประมาณ” “สถานที่ไม่พร้อม” “กฎหมายยังไม่รองรับ” “ขาดบุคลากรที่เชี่ยวชาญ” แทนที่จะรอให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ เขากลับเลือกแนวทางที่ตรงกันข้าม “ทำไปเลยบนความไม่พร้อม” เพราะหากรอให้ทุกอย่างพร้อม โครงการสำคัญหลายอย่างอาจไม่มีวันเกิดขึ้นได้

เพราะความสำเร็จของการทำงานเชิงยุทธศาสตร์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทรัพยากรที่มีอยู่ แต่ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ ความกล้าหาญ ความมุ่งมั่นและความสามารถในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากมัวแต่รอความพร้อม คนที่มีทุกอย่างอยู่แล้วอาจไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จเสมอไป แต่คนที่ใช้ปัญญาพิจารณาและกล้าลงมือทำ แม้ในสภาวะที่ยังไม่สมบูรณ์ จะเป็นผู้นำที่สามารถเปลี่ยนแปลงและสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้

บทสรุป

จากคุณลักษณะของผู้นำที่พิจารณาผ่านคุณสมบัติของผู้นำ ความสามารถของผู้นำ และการนำด้วยปัญญา ที่ได้มาจากการสรุปบทเรียนการทำงานในตำแหน่งรัฐมนตรีของเอนก เหล่าธรรมทัศน์ นั้น ดูเหมือนการนำด้วยปัญญาได้รับอิทธิพลจากปรัชญาตะวันออกอยู่ไม่น้อย ในอีกด้านหนึ่งก็ดูมีความสอดคล้องกับแนวคิดปรัชญาการนำของตะวันตกด้วยเช่นกัน เมื่อศึกษางานของเพลโต นักปรัชญาชาวกรีก ซึ่งกล่าวถึงผู้นำที่เปี่ยมด้วยปัญญาผ่านงานเขียน The Republic โดยเพลโตอธิบายเปรียบเทียบผู้นำที่ดีกับอาชีพต่างๆ ในสังคม ตัวอย่างเช่น

การเปรียบว่าผู้นำควรเป็น “นักดูดาว” หมายถึงบุคคลที่มองเห็นสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น และมีความสามารถในการนำรัฐไปสู่อนาคตที่ดีกว่า แนวคิดนี้สะท้อนผ่านวิสัยทัศน์ของเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ที่ผลักดันให้กระทรวง อว. เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยใช้ทั้งวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์เป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลง

การเป็นผู้นำไม่ได้หมายถึงการออกคำสั่ง แต่หมายถึงการเป็น “ครู” ที่โน้มน้าวให้ผู้ตามเชื่อมั่นและเต็มใจเดินตาม เพลโตเน้นว่าผู้นำต้องสร้างแรงบันดาลใจผ่านเหตุผลและการสื่อสาร เช่นเดียวกับเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ที่มีความสามารถในการวางตัวให้มีความน่าเชื่อถือ ให้คนเชื่อและตามได้ เขาจะใช้การ “พูด” และ “สอน” เพื่อให้ผู้คนรอบข้างเข้าใจและเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของเขา โดยมองว่าผู้นำต้องเป็นนักเล่าเรื่องที่ดี ไม่ใช่เพียงเพื่อให้ข้อมูล แต่ต้องสามารถสร้างแรงบันดาลใจ กระตุ้นความหวัง และปลุกพลังในการทำงาน ซึ่งเป็นศิลปะแห่งการพูดและการสอนที่ช่วยให้ผู้นำสามารถนำพาผู้คนไปสู่เป้าหมายร่วมกัน

เพลโตยังเปรียบเทียบผู้นำควรเป็น “คนทอผ้า” ด้วย ที่สามารถเชื่อมโยงผู้คนที่มีความแตกต่างให้ทำงานร่วมกันได้ เอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นผู้นำที่ให้ความสำคัญกับ “พลังของความร่วมมือและความสามัคคี” เขาเชื่อว่าการพัฒนาประเทศต้องเกิดจากความร่วมมือมากกว่าการแข่งขัน และเปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนมีบทบาทในการขับเคลื่อนประเทศ

การนำด้วยปัญญาแบบเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นการผสมผสานระหว่างการนำแบบตะวันออกอย่างขงจื๊อ และพุทธศาสนา เน้นคุณธรรม ความซื่อสัตย์ และความรับผิดชอบของผู้นำ ขณะที่การนำแบบตะวันตกของเพลโตเน้นการมองเห็นสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น ให้ความสำคัญกับพลังความร่วมมือ และสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนเดินไปในทิศทางที่ถูกต้อง นี่คือรูปแบบการนำที่แสดงให้เห็นว่าผู้นำที่แท้จริงต้องเป็นทั้งนักคิด นักสื่อสาร และนักปฏิบัติ เป็นหัวใจของภาวะผู้นำ ซึ่งสร้างได้และฝึกฝนได้ ความเป็นผู้นำแบบเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ที่มองจากคุณสมบัติของผู้นำ ความสามารถของผู้นำ และการนำด้วยปัญญา จะเห็นว่า ได้แสดงออกอย่างเด่นชัดถึงภาวะผู้นำในบทบาทรัฐมนตรีว่าการกระทรวง อว.ที่ผ่านมา ประกอบกับคุณลักษณะการนำทั้งสามยังเสริมซึ่งกันและกันได้ดี ถ้าหากถามว่าสไตล์ผู้นำแบบเอนก เหล่าธรรมทัศน์ มีลักษณะที่มาของความเป็นผู้นำแบบตะวันตกหรือแบบตะวันออก ขอตอบว่าเป็นการผสมผสานกันอย่างลงตัวระหว่างผู้นำแบบตะวันตกและผู้นำแบบตะวันออก ดังที่ได้วิเคราะห์แล้วข้างต้น โดยเฉพาะภาวะผู้นำที่มีการเชื่อมโยงกับปัญญาทั้งในการคิด การพูดและการกระทำอย่างชัดเจนนี้ เป็นคุณลักษณะของผู้นำที่สังคมและประเทศต้องการ ยิ่งในโลกของการเป็นผู้นำที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาอย่างยุคปัจจุบัน ปัญญาไม่ได้เป็นเพียงทรัพย์สินเท่านั้น กลับกลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง แต่องค์ประกอบนี้มักถูกมองข้ามไป

การถอดบทเรียนจากประสบการณ์ทั้งหมดนี้ อาจจะเป็นข้อเขียนที่กล่าวถึงความสำเร็จ ไม่ระบุถึงข้อผิดพลาด จะขออธิบายที่นี้ว่า แม้ว่าความผิดพลาดจะเป็นโอกาสในการเรียนรู้ก็ตาม แต่การเรียนรู้จากความสำเร็จย่อมมีค่าไม่แพ้กัน ยิ่งไปกว่านั้น การไตร่ตรองแต่ข้อผิดพลาดเพียงอย่างเดียวจะทำให้เราไม่รู้อะไรที่ควรทำ การรู้ว่าอะไรที่ทำให้เราสำเร็จและยิ่งใหญ่ จะแสดงให้เห็นว่าเราต้องทำอะไรต่อไป และเผยให้เห็นว่าเราสามารถ (และควร) สอนหรือแนะนำผู้อื่นได้อย่างไร.

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ไทยโพสต์

อย่าไว้ใจ ‘เขมร’

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

นโยบาย’ด้นสด’?

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ขายฝันซ้ำซาก

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

‘อิ๊งค์’ไปต่อเมิน2พันล.พลิกขั้ว

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

“ภูมิธรรม” นำทีมทลายบ่อน “นวย ดอนเมือง” รวบนักพนัน 176 ราย พบเงินสะพัดหลักร้อยล้าน

เดลินิวส์

คณะมนตรีความมั่นคงฯ ยกเว้นสหรัฐ ชี้ภาวะอดอยากในฉนวนกาซาคือวิกฤตที่มนุษย์สร้างขึ้น

JS100
วิดีโอ

สน.บางรัก สนธิกำลัง กก.ดส. และตำรวจ 191 บุกตรวจเข้มสถานบันเทิงย่านสีลม ไร้ปัสสาวะสีม่วง

สวพ.FM91

พบ พระ-เณร สำนักสงฆ์ดัง ถือซองเดินเรี่ยไร จับตรวจฉี่ม่วงปรี๊ด ยอมรับเสพยาบ้าทั้งคู่

Khaosod

มาตรการภาษีสหรัฐฯที่ร้อยละ 50 เริ่มบังคับ โมดีเรียกร้องประชาชนสนับสนุนสินค้าในประเทศ

JS100

ทำยังไงดี?! สาวตั้งกระทู้ปวดใจ ‘ลุง PM’ วัย 45 ตามจีบไม่เลิก ชาวเน็ตแห่เมนต์สนั่น!

เดลินิวส์

กฟน. แจ้งไฟฟ้าดับวันนี้ 28-29 ส.ค. 68 กทม. นนทบุรี สมุทรปราการ

ฐานเศรษฐกิจ

หนังสือเรียน ป.5 ยกย่อง "อดีตพระอลงกต" ชาวพุทธตัวอย่าง สพฐ. สั่งถอดเนื้อหาแล้ว

sanook.com

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...