เด็กไร้สัญชาติในไทย วิกฤตที่ซ่อนอยู่หลังเส้นพรมแดน
การจับกุมเด็กนักเรียนวัย 13 ปีในจังหวัดชายแดนภาคอีสาน กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการถกเถียงครั้งใหญ่ในสังคมไทย ภาพเด็กที่ถูกถอดชุดลูกเสือ เปลี่ยนเป็นชุดไปรเวทก่อนถูกควบคุมตัวเพื่อรอส่งกลับกัมพูชา ทำให้สังคมตั้งคำถามถึงความเป็นธรรมและมนุษยธรรมในนโยบายชายแดน เหตุการณ์นี้ไม่ใช่กรณีแรก แต่คือเครื่องเตือนใจว่าปัญหา “เด็กไร้สัญชาติ” ยังคงเป็นแผลเรื้อรังที่ฝังอยู่ในโครงสร้างการบริหารของประเทศ
ขนาดและมิติของปัญหาเด็กไร้สัญชาติ
ประเทศไทยจัดเป็นประเทศที่มีประชากรไร้รัฐไร้สัญชาติมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลกตัวเลขทางการเมื่อเดือนกันยายน 2567 ระบุว่ามีบุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติ 592,340 คน โดยในจำนวนนั้นเป็นเด็กมากถึง 169,241 คน หรือเกือบหนึ่งในสาม ขณะที่บางแหล่งข้อมูลประเมินว่าจำนวนจริงอาจแตะถึง 1.5 ล้านคน
ต้นตอของปัญหาไม่ใช่เพียงการอพยพหนีความยากจนหรือความขัดแย้งจากประเทศเพื่อนบ้าน แต่ยังรวมถึงการแต่งงานข้ามชาติ การไม่แจ้งเกิด การตกหล่นจากระบบทะเบียน และการย้ายถิ่นที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคน เด็กไร้สัญชาติจำนวนมากอาศัยอยู่ตามแนวชายแดนไทย–เมียนมา ไทย–ลาว และไทย–กัมพูชา ซึ่งมีความยาวรวมกันกว่า 5,000 กิโลเมตร
ระบบกฎหมายที่ขัดแย้งในตัวเอง?
กฎหมายไทยวางหลักการคุ้มครองเด็กไว้อย่างชัดเจน พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 กำหนดว่าประโยชน์สูงสุดของเด็กต้องมาก่อนเสมอ และประเทศไทยก็เป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กปี 1989 ที่ให้หลักประกันสิทธิ 4 ประการคือการมีชีวิต การคุ้มครอง การพัฒนา และการมีส่วนร่วม
แต่กฎหมายคนเข้าเมืองกลับมีมาตรการเข้มงวดต่อบุคคลที่ไม่มีเอกสาร ทำให้เด็กไร้สัญชาติต้องเผชิญกับสถานะที่คลุมเครือ ถูกมองเป็น “ผู้ลักลอบเข้าเมือง” มากกว่าผู้ที่ควรได้รับการคุ้มครอง แม้จะเกิดและเติบโตในไทยตั้งแต่แบเบาะ
กรณีศึกษา เด็ก 13 ปีและแผลใจของระบบ
เด็กวัย 13 ปีที่ถูกจับกุมคือภาพแทนของความไม่ลงรอยในกฎหมาย แม้เด็กจะเรียนในโรงเรียนไทย มีผลการเรียนดีเยี่ยม และไม่รู้ภาษาเขมรแม้แต่คำเดียว แต่เมื่อถูกตรวจสอบเอกสาร เขากลับถูกจัดให้อยู่ในกลุ่ม “ต่างด้าว” ที่ต้องส่งกลับประเทศต้นทาง
ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ให้ความเห็น โดยย้ำว่า “ชาตินิยมต้องมีมนุษยธรรม” ไม่ควรถูกตีความอย่างสุดโต่งจนละเลยหัวใจความเป็นมนุษย์
ดร.ปริญญา ชี้ให้เห็นว่า เด็กคนนี้แม้แม่จะเป็นชาวกัมพูชา แต่ถูกพามาอยู่เมืองไทยตั้งแต่ยังเป็นทารก เติบโต เรียนหนังสือ และประพฤติตัวดีเยี่ยมจนจบประถมด้วยเกรดเฉลี่ย 4.0 ขณะเดียวกันก็พูดภาษาไทยได้เท่านั้น ไม่รู้จักภาษากัมพูชาและไม่มีบ้านหรือรากฐานใด ๆ อยู่ที่นั่น หากรัฐไทยผลักดันกลับไปย่อมเท่ากับการตัดขาดเด็กออกจากสังคมที่เขาเรียกว่าบ้าน
ดร.ปริญญาเตือนว่าการกระทำเช่นนั้นไม่เพียงทำร้ายเด็ก แต่ยังบั่นทอนภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาสากล ทำให้ถูกมองว่าไร้มนุษยธรรม “ไม่ต่างอะไรกับฮุนเซน” พร้อมเรียกร้องให้กระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงมหาดไทยเร่งออกมาแก้ปัญหา โดยย้ำว่ามีช่องทางทางกฎหมายรองรับอยู่แล้ว เพียงแต่อยู่ที่เจตจำนงทางการเมืองว่าจะทำหรือไม่ เพราะประชาคมโลกกำลังจับตาสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิด
สิทธิที่ยังไม่ถึงมือเด็กไร้สัญชาติ
- การศึกษา
แม้กระทรวงศึกษาธิการจะมีนโยบาย Education for All และเปิดทางให้เด็กไร้เอกสารเข้าเรียนได้ แต่ในความจริงยังมีเด็กไร้สัญชาติจำนวนมากที่หยุดอยู่เพียงระดับประถม เนื่องจากไม่สามารถเรียนต่อ ม.ปลาย หรือมหาวิทยาลัยได้ บางกรณีถูกปฏิเสธทุนหรือเงินกู้เรียนเพราะขาดเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก
การปิดศูนย์การเรียนบางแห่ง เช่น ศูนย์มิตตาเย๊ะ จ.สุราษฎร์ธานี ส่งผลกระทบต่อเด็กข้ามชาติกว่า 2,000 คน และเชื่อมโยงไปถึงเด็กอีกหลายหมื่นที่อยู่ในศูนย์การเรียนรู้ชั่วคราวทั่วประเทศ
- การรักษาพยาบาล
เด็กไร้สัญชาติไม่สามารถใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ทำให้การเข้าถึงวัคซีนและบริการพื้นฐานยังมีช่องว่างกว้าง การเจ็บป่วยธรรมดากลายเป็นภาระหนักที่ครอบครัวรับไม่ไหว และอาจบังคับให้เด็กหลุดออกจากโรงเรียน
- การเดินทาง
ข้อจำกัดในการเดินทางออกนอกพื้นที่ทำให้เด็กไร้สัญชาติไม่สามารถไปเรียนต่อหรือทำงานในต่างจังหวัดได้ ต้องอยู่ในพื้นที่จำกัด และเสี่ยงถูกจับหากไม่มีบัตรผ่านแดนหรือเอกสารที่ถูกต้อง
สถิติที่บอกเล่าเรื่องราว ช่องว่างระหว่างกฎหมายกับชีวิตจริง
ตัวเลขที่เกี่ยวข้องกับเด็กไร้สัญชาติในประเทศไทยเผยให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำที่ยังแก้ไม่ตก แม้จะมีนโยบายรองรับด้านสิทธิเด็กและสิทธิมนุษยชน แต่การเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานกลับยังติดขัดในทางปฏิบัติ
ข้อมูลจาก สำนักงานสถิติและหน่วยงานภาครัฐ ระบุว่า ปัจจุบันมีเด็กไร้สัญชาติที่เข้าอยู่ในระบบการศึกษาไทยราว 150,000 คน แต่ในจำนวนนี้มีเพียง 50,000 คน ที่ผ่านกระบวนการตรวจสอบสถานะ และเพียง 29,000 คน ที่ได้รับเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ซึ่งหมายความว่า เด็กอีกกว่าหนึ่งแสนคนยังคงอยู่ในสภาพไร้เอกสาร แม้จะนั่งเรียนอยู่ในห้องเรียนเดียวกับเพื่อนที่มีสัญชาติก็ตาม
งานวิจัยด้านการศึกษาข้ามชาติ ยังพบว่า เด็กอายุ 7–14 ปีในกลุ่มแรงงานและครอบครัวข้ามชาติสามารถเข้าถึงการศึกษาขั้นพื้นฐานเพียง 80.2% โดยร้อยละ 32.6 ได้เรียนในโรงเรียนไทย ร้อยละ 37.1 เรียนในศูนย์การเรียนรู้ที่องค์กรพัฒนาเอกชนจัดตั้ง แต่ยังมีถึง 30.3% ที่ไม่ได้เรียนหนังสือเลย ซึ่งสะท้อนถึงความเปราะบางของเด็กจำนวนไม่น้อยที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ขณะเดียวกัน ตัวเลขจาก สำนักทะเบียนกลาง กระทรวงมหาดไทย ช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน 2566 ระบุว่า มีผู้ได้รับสัญชาติไทยเพียง 7,016 คน จากจำนวนผู้ยื่นคำขอกว่า 483,383 คน หรือคิดเป็นเพียง 1.45% เท่านั้น การได้สัญชาติไทยจึงยังเป็นเส้นทางที่ยาวไกล เต็มไปด้วยขั้นตอนซับซ้อน และใช้เวลานานกว่าที่เด็กและครอบครัวจะได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานอย่างเท่าเทียม
สถานะทางกฎหมายและระบบบัตร ชีวิตที่ถูกกำหนดด้วยเอกสาร
เมื่อมองลึกไปในโครงสร้างการบริหารจัดการคนไร้สัญชาติในไทย จะพบว่า “บัตรประจำตัว” กลายเป็นทั้งเกราะป้องกันและกำแพงกีดกันในเวลาเดียวกัน เอกสารแต่ละประเภทไม่เพียงทำหน้าที่ระบุตัวตน แต่ยังเป็นตัวกำหนดว่าใครจะได้รับสิทธิอะไรบ้าง ตั้งแต่การศึกษา การรักษาพยาบาล ไปจนถึงการเดินทางและการทำงาน
- บัตรสีชมพู หลักฐานที่ก้ำกึ่งระหว่างการยอมรับกับการกีดกัน
บัตรประจำตัวคนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย หรือ “บัตรสีชมพู” ถูกออกให้กับผู้ที่อาศัยในไทยมายาวนานแต่ไม่ได้รับสัญชาติ เช่น ลูกหลานแรงงานข้ามชาติหรือเด็กที่เกิดในไทยแต่พ่อแม่ไม่ใช่คนไทย บัตรนี้ให้เลข 13 หลักและใช้แสดงตนในราชการได้ แต่ยังไม่สามารถใช้แทนบัตรประชาชนหรือเดินทางออกนอกพื้นที่ได้อย่างเสรี เด็กที่ถือบัตรนี้จึงยังติดอยู่ในพื้นที่สีเทา
- บัตรคนต่างด้าว (AIC) เอกสารสำหรับผู้ได้รับอนุญาตอยู่ระยะยาว
Alien Identity Card หรือ AIC ถูกออกให้กับชาวต่างชาติที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ระยะยาวในไทย เช่น ผู้ที่มีใบอนุญาตทำงาน หรือผู้ที่ถือบัตรถิ่นที่อยู่ถาวร เอกสารนี้เปิดประตูสู่สิทธิหลายด้าน แต่ขั้นตอนการขอมีความซับซ้อนและใช้เวลานาน
- บัตรผ่านแดน เอกสารที่จำกัดการเคลื่อนไหว
สำหรับแรงงานและชุมชนชายแดนจากกัมพูชา ลาว และเมียนมา “บัตรผ่านแดน” ทำให้สามารถเข้าออกประเทศไทยได้เฉพาะจุดผ่านแดนที่กำหนดและในระยะเวลาจำกัด เอกสารนี้ทำให้ชีวิตประจำวันของแรงงานพอเดินต่อได้ แต่ไม่สร้างเส้นทางสู่การมีสิทธิถาวร
- เอกสารอื่นๆ ที่เป็นเหมือนใบอนุญาตชั่วคราว
ผู้ที่เข้ามาด้วยวีซ่าประเภท Non-Immigrant Visa สามารถอยู่ในราชอาณาจักรได้ตามระยะเวลาที่กำหนด หากได้รับการต่ออายุหรืออนุญาตให้อยู่ต่อ ส่วน “ใบอนุญาตทำงาน” แม้ไม่ใช่บัตรประจำตัวโดยตรง แต่ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่แรงงานต่างด้าวต้องมีเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม
- บัตรถิ่นที่อยู่ถาวร จุดหมายที่เข้าถึงยาก
สำหรับผู้ที่อาศัยและทำงานในไทยมาเป็นเวลานาน การได้บัตรถิ่นที่อยู่ถาวรคือจุดสูงสุดของความมั่นคงทางกฎหมาย แต่เงื่อนไขเข้มงวดและมีจำนวนจำกัด ทำให้คนส่วนใหญ่ยังไปไม่ถึงขั้นนั้น
ย้อน 10 ปีคดีเด็กไร้สัญชาติ แผลเรื้อรังที่กฎหมายไทยยังแก้ไม่ขาด
การย้อนมองคดีที่เกี่ยวข้องกับเด็กไร้สัญชาติในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ทำให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยังแก้ไขไม่สำเร็จ แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายคุ้มครองเด็กและเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก แต่ในทางปฏิบัติกลับมีคดีที่สะท้อนถึงการบังคับใช้กฎหมายที่ขัดแย้งกันเอง ตัวอย่างเช่น คดีโรงเรียนไทยรัฐวิทยา 6 จังหวัดอ่างทอง (2566) ที่ครูถูกดำเนินคดีเพียงเพราะเปิดโอกาสทางการศึกษาให้เด็กไร้เอกสารจำนวน 126 คน ทั้งที่หลักการ “การศึกษาเพื่อปวงชน” เปิดทางให้เด็กทุกคนเข้าถึงการศึกษาโดยไม่เลือกปฏิบัติ
กรณีต่อมาในปี 2567 เด็กไร้สัญชาติ 19 คนที่บวชเรียนอยู่ที่วัดสว่างอารมณ์ จังหวัดลพบุรี ถูกเจ้าหน้าที่นำตัวกลับไปเพื่อผลักดันไปยังประเทศต้นทาง และล่าสุดในปี 2568 เด็กหญิงชาวกัมพูชาอายุ 13 ปีที่เกิดและเติบโตในไทย แต่ถูกจับเพื่อส่งกลับกัมพูชา ทั้งที่พูดและอ่านภาษาไทยได้เพียงภาษาเดียว กลายเป็นประเด็นใหญ่ในสังคมและสร้างแรงกดดันต่อหน่วยงานรัฐ
เหตุการณ์เหล่านี้ไม่เพียงตอกย้ำความไม่มั่นคงของระบบคุ้มครองสิทธิเด็ก แต่ยังชี้ให้เห็นถึงบรรยากาศความกลัวที่ทำให้โรงเรียนและศูนย์การเรียนชายแดนจำนวนมากต้องปิดตัว ส่งผลให้เด็กไร้สัญชาติหลุดจากระบบการศึกษา
เด็กไร้สัญชาติ ศักยภาพที่รอการปลดปล่อยบนเวทีโลก
เด็กไร้สัญชาติในประเทศไทยแม้จะเผชิญข้อจำกัดด้านสิทธิและสถานะทางกฎหมาย แต่หลายคนสามารถก้าวข้ามอุปสรรคและสร้างชื่อเสียงให้ประเทศในเวทีทั้งระดับชาติและนานาชาติ เช่น “หม่อง ทองดี” ผู้คว้าแชมป์เครื่องบินกระดาษพับระดับโลก และ “น้องพี” เด็กชายเชื้อสายมอญที่โชว์ฝีเท้าฟุตบอลจนได้รับการจับตามองจากสโมสรใหญ่ เหล่านี้คือหลักฐานชัดเจนว่าเด็กไร้ชาติไม่ใช่คนที่ไร้ศักยภาพ หากแต่ขาดโอกาสและการสนับสนุนที่เท่าเทียม
สถานการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความย้อนแย้งของระบบไทย ด้านหนึ่งรัฐมีนโยบาย Education for All และจัดทำระบบ G Code Student เพื่อเปิดทางให้เด็กไร้เอกสารได้เรียน แต่ในอีกด้าน เด็กจำนวนมากยังคงติดกับดักของสถานะไร้สัญชาติ ไม่สามารถเดินทาง เรียนต่อ หรือเข้าถึงทุนการศึกษาได้ ความสำเร็จของเด็กไร้ชาติที่ก้าวไกลในเวทีโลกจึงไม่ใช่เพียงเรื่องราวเฉพาะตัว แต่เป็นสัญญาณว่าหากได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสม เด็กเหล่านี้สามารถสร้างคุณูปการสำคัญต่อสังคมไทยได้
การมองเด็กไร้ชาติในฐานะ “ศักยภาพที่รอการปลดปล่อย” จึงเป็นโจทย์สำคัญของสังคมไทย ไม่ใช่เพียงเพื่อตอบสนองต่อหลักมนุษยธรรม แต่ยังเป็นการลงทุนในทรัพยากรมนุษย์ที่พร้อมจะเป็นพลังขับเคลื่อนประเทศในอนาคต
ท้ายที่สุด เหตุการณ์เด็กวัย 13 ปีในจังหวัดชายแดนคือเครื่องเตือนใจที่ทำให้สังคมไทยต้องเผชิญคำถามใหญ่ ว่าเราจะจัดการกับปัญหาเด็กไร้สัญชาติด้วยกรอบกฎหมายที่แข็งทื่อเพียงอย่างเดียว หรือจะเลือกเดินไปบนเส้นทางที่หลอมรวมความมั่นคงของรัฐเข้ากับหลักมนุษยธรรม หากประเทศไทยยังปล่อยให้เด็กหลายแสนคนเติบโตโดยไร้สิทธิและตัวตน เรากำลังเสี่ยงต่อการสูญเสียทรัพยากรมนุษย์รุ่นใหม่ที่อาจเป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคต การมองเด็กเหล่านี้ในฐานะ “คนของสังคมไทย” ไม่ใช่เพียงทางออกเชิงสิทธิมนุษยชน แต่คือการลงทุนในอนาคตของประเทศที่จะสร้างทั้งความยุติธรรม เสถียรภาพ และความภาคภูมิใจในเวทีโลก.
อ้างอิง
การจัดการผู้ต้องกักเพื่อรอการส่งกลับของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
สำนักทะเบียนกลาง กระทรวงมหาดไทย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- ทหารเหยียบกับระเบิดล่าสุด มทภ.2 ประณาม กัมพูชาละเมิดหยุดยิง
- ชายแดนไทย–กัมพูชาล่าสุด พบความเคลื่อนไหวทหาร–โดรน กองทัพไทยเร่งคุมพื้นที่
- กต. ประณามกัมพูชาใช้สตรีและเด็กเป็น “โล่มนุษย์” ที่ชายแดนบ้านหนองจาน
- สรุปสถานการณ์ชายแดนล่าสุด ไทย - กัมพูชา 26 ส.ค. พบโดรน 9 ลำ
- ทำความรู้จัก “เจ๊เอ๋” เจ้าหนี้สายโหด ประกาศรวมพลไปชายแดนบ้านหนองจาน