“อินโนเวสท์ เอกซ์” มองเศรษฐกิจโลกเผชิญมรสุม สงครามการค้า-ภาษีใหม่ฉุดจีดีพีไทยดิ่ง
บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินเศรษฐกิจโลก Q3/68 เผชิญความเสี่ยงรอบด้านจากสงครามการค้า สหรัฐฯ ชะลอตัว เฟดไม่ลดดอกเบี้ย เงินเฟ้อพุ่ง 3.6% ส่วนไทยน่าห่วงจากภาษี Reciprocal Tariff ที่อาจฉุดจีดีพีปีนี้ให้ต่ำกว่า 1.4% คงเป้า SET ที่ 1,250 จุด แนะเข้าซื้อต่ำกว่า 1,100 จุด ให้หุ้นเด่นพื้นฐานแกร่ง BCH, CPF, DIF, MTC และ SCC
9 กรกฎาคม 2568 ดร. ปิยศักดิ์ มานะสันต์ หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจ บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (INVX) กล่าวในงานแถลงข่าว “แนวโน้มเศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุน ไตรมาส 3/2568” ว่า
สำหรับไตรมาส 3/68 คาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเผชิญความเสี่ยงต่อเนื่องจากสงครามการค้าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะชะลอลงจากผลกระทบภาษีศุลกากร โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) หรือ Fed คาดจะไม่ลดดอกเบี้ย และเงินเฟ้อจะเพิ่มสู่ 3.6% โดยต้องจับตาเงินเฟ้อ การบริโภค และการจ้างงานใกล้ชิด
ส่วนจีนแม้จะมีแนวโน้มชะลอแต่มาตรการกระตุ้นจะช่วยพยุง และไทยเผชิญความเสี่ยงหลายด้านโดยเฉพาะอัตราภาษี Reciprocal Tariff ที่ประกาศ ณ วันที่ 7 กรกฎาคม ทำให้มีความเสี่ยงต่อประมาณการ GDP ของไทยในปีนี้ที่ 1.4% (สมมุติฐานภาษี Reciprocal Tariff ที่ 15%) อย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งนี้มองว่า ข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ- เวียดนามเมื่อวันที่ 2 ก.ค.68 อาจเป็นฐานสำหรับการเจรจาการค้าของไทย โดย
- ไทยอาจต้องลดภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ เป็น 0% เช่นเดียวกับเวียดนาม และ
- ไทยจะต้องนำเข้าสินค้าจากสหรัฐมากขึ้นอีกมาก โดยหากการเจรจาสำเร็จ และทำให้ภาษีลดลงเหลือ 15-20% GDP จะเติบโต 1.1-1.4% ในปี 68 (ความน่าจะเป็น 30%) แต่หากภาษี 21-28% GDP จะขยายตัว 1.0-0.0% (ความน่าจะเป็น 50%) ส่วนในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด หากต้องเผชิญภาษี 29-36% GDP อาจหดตัวที่ -0.1% ถึง -1.1% (ความน่าจะเป็น 20%)
นายสุทธิชัย คุ้มวรชัย Head of Research Department บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด เปิดเผยว่าแนวโน้มตลาดหุ้นไทยไตรมาส 3/2568 ประเมินความเสี่ยงทางลงมีจํากัด แต่ Upside ไม่มาก แม้สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้าหลักจะเริ่มคลี่คลาย แต่ยังคงเป็นความเสี่ยงที่ทำให้เกิดความผันผวนได้ต่อ จากนโยบายที่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้อย่างฉับพลัน
โดยเศรษฐกิจไทยยังเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายในหลายด้าน ได้แก่ ความไม่แน่นอนด้านการค้า การท่องเที่ยวที่ยังชะลอตัว ความเปราะบางของภาคเกษตร การเมืองที่ยังมีความไม่แน่นอน หนี้ครัวเรือนในระดับสูงและการลงทุนภาคเอกชนที่ยังไม่ฟื้นตัว ทำให้ ธปท. มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ เพื่อประคับประคองเศรษฐกิจที่ถูกกดดันจากปัจจัยดังกล่าว การกระจายพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพยังเป็นหัวใจหลักของการลงทุนในภาวะที่ตลาดมี upside ไม่มาก แต่มีความผันผวนสูง
นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า InnovestX ยังคงเป้าหมายดัชนี SET Index ปี 2568 ที่ระดับ 1,250 จุด โดยมองว่า ระดับต่ำกว่า 1,100 จุดเป็นจุดเข้าซื้อที่น่าสนใจ การฟื้นตัวของตลาดยังต้องอาศัยนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย การเร่งลงทุนภาครัฐ และเสถียรภาพของสภาพคล่องในระบบ
กลยุทธ์สำคัญสำหรับช่วงไตรมาส 3 คือการคัดเลือกหุ้นรายตัวที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ทั้งในด้านงบดุล รายได้ที่หลากหลาย Valuation ที่เหมาะสม และโอกาสรับอานิสงส์จากเมกะเทรนด์การลงทุนในประเทศและการค้าโลกที่ฟื้นตัว หุ้นเด่นที่เราคัดเลือก ได้แก่ BCH, CPF, DIF, MTC และ SCC ซึ่งตอบโจทย์คุณสมบัติทั้ง 5 ข้อที่เราใช้ในการประเมิน
ส่วนในฝั่งตลาดต่างประเทศ เราเน้นกระจายการลงทุนในกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตมั่นคง การเพิ่มการลงทุนด้านการทหาร ลดน้ำหนักเทคโนโลยีและเซมิคอนดักเตอร์ที่เริ่มชะลอ พร้อมเน้นธีม Domestic Play โดยเฉพาะเอเชีย ซึ่งจีนยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐได้แก่
- หุ้นแนะนำในตลาดสหรัฐ ได้แก่ AMD, Constellation Energy, Goldman Sachs, Microsoft, Netflix, RTX
- หุ้นแนะนำในตลาดยุโรป ได้แก่ BNP Paribas, Deutsche Telekom, Iberdrola, Rheinmetall, SAP, Siemens
- หุ้นแนะนำในตลาดจีน ได้แก่ CATL, China Mobile, Hong Kong Exchange, SMIC, Tencent, Trip.com
นายรัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ หัวหน้าฝ่าย Investment Strategy และฝ่าย Trading Product Specialist บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า “กลยุทธ์หลักในการลงทุนไตรมาส 3/68 คือ ‘การจัดพอร์ตอย่างสมดุล’ โดยกระจายการลงทุนในหลายประเภทสินทรัพย์และภูมิภาค เพื่อกระจายความเสี่ยง รับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน ทั้งจากภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายการเงิน และทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ในฝั่งสินทรัพย์ปลอดภัย ทองคำ ยังคงน่าสนใจจากแรงซื้อสะสมของธนาคารกลางทั่วโลกและการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ ตราสารหนี้
แนะนำลงทุนใน Duration ระยะสั้น (น้อยกว่า 2 ปี) ที่มีความยืดหยุ่นและรับมือกับความเสี่ยงเงินเฟ้อได้ดีกว่าตราสารระยะยาว ตราสารทุน ยังคงเน้นกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (EM) และหุ้นนอกสหรัฐฯ (Ex-US) โดยเฉพาะเวียดนามและจีนที่มีแนวโน้มฟื้นตัว และยังมี Valuation ที่น่าสนใจ ขณะที่แนะจับตาหุ้นยุโรป จากสัญญาณการฟื้นตัวทั้งจากเศรษฐกิจในปีนี้และผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในปีหน้า
โดยผลิตภัณฑ์กองทุนแนะนำประจำไตรมาส 3/68 สำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายพอร์ตในธีมต่างประเทศที่มีศักยภาพเติบโต ได้แก่ UOBSG-H ที่ลงทุน SPDR Gold Shares ETF ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยน DAOL-CHINATECH ที่ชูธีมหุ้นเทคจีนชั้นนำอย่าง Xiaomi และ Tencent, PRINCIPLE VNEQ-A กองทุนแรกของไทยที่ลงทุนในหุ้นเวียดนามคุณภาพดี และ LHHEALTH-A เน้นกลุ่มการแพทย์ทั่วโลกที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ราคาปรับลงอยู่ในจุดที่น่าสนใจ รวมถึง DR HSHD23 ที่ลงทุนในหุ้นจีนชั้นนำ 50 ตัว อิงดัชนี Hang Seng High Dividend Yield ปันผลสูงเฉลี่ย 6-8% ต่อปี ตอบโจทย์ทั้งการเติบโตและการป้องกันความผันผวนในระยะยาว