“เฟด” ชั่งน้ำหนักผลกระทบ “ภาษีทรัมป์” ยังไม่รีบลดดอกเบี้ย จับตาเงินเฟ้อไตรมาส 3
รายงานการประชุม "เฟด" เดือน มิ.ย. ชี้เจ้าหน้าที่แตกความเห็นต่อทิศทางดอกเบี้ย หลังประเมินผลกระทบภาษีทรัมป์อาจดันเงินเฟ้อพุ่งเกินเป้า 2% ชี้ยังไม่รีบลดดอกเบี้ย จับตาเงินเฟ้อไตรมาส 3
วันที่ 9 กรกฎาคม 2568 เวลา 17.12 น. สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า รายงานการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อวันที่ 17–18 มิถุนายน ซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันพุธนี้ คาดว่าจะสะท้อนถึงการถกเถียงอย่างเข้มข้นภายในเฟดเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากภาษีนำเข้าของสหรัฐที่เพิ่มขึ้น รวมถึงท่าทีที่ยังไม่รีบตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ย จนกว่าจะเห็นชัดเจนว่าภาษีดังกล่าวจะทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นแค่ไหน
ผู้ว่าการเฟด คริสโตเฟอร์ วอลเลอร์ และรองประธานฝ่ายกำกับดูแล มิเชล โบว์แมน ซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่างกล่าวว่าพวกเขาอาจพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยได้เร็วที่สุดในการประชุมเฟดวันที่ 29–30 กรกฎาคม
รายงานการประชุมซึ่งจะเผยแพร่ในเวลา 01.00 น. ตามเวลาไทยของวันที่ 10 ก.ค. คาดว่าจะให้รายละเอียดว่า เจ้าหน้าที่เฟดคนอื่น ๆ มีมุมมองตรงกับวอลเลอร์และโบว์แมนหรือไม่ โดยเฉพาะในประเด็นที่ว่า ผลกระทบของภาษีนั้นอาจเป็นเพียงชั่วคราว ขณะเดียวกัน ยังต้องจับตาว่าเจ้าหน้าที่อีก 7 คนที่ไม่เห็นด้วยกับการลดดอกเบี้ยในปี 2568 มีเหตุผลอย่างไร และมีความกังวลใดเกี่ยวกับตลาดแรงงาน
เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 4.25–4.50% มาตั้งแต่ธันวาคมปีก่อน รายงานการประชุมดังกล่าวเป็นการบันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต และไม่ได้สะท้อนเหตุการณ์ใหม่ เช่น รายงานการจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาดในเดือนมิถุนายน หรือคำขู่ล่าสุดของทรัมป์ที่จะเก็บภาษีเพิ่มในวันที่ 1 สิงหาคมกับประเทศต่าง ๆ รวมถึงภาษี 25% สำหรับสินค้าจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
อย่างไรก็ตามรายงานการประชุมจะเปิดเผยรายละเอียดของการหารือในช่วงเวลาสำคัญ เมื่อทรัมป์กดดันให้เฟดลดดอกเบี้ยอย่างหนัก แม้ข้อมูลเศรษฐกิจและผลสำรวจหลายแห่งจะสะท้อนถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและการจ้างงานที่ชะลอตัว ซึ่งถือเป็นภาวะที่ยากต่อการตัดสินใจของเฟดซึ่งมีหน้าที่รักษาเสถียรภาพของเงินเฟ้อให้อยู่ที่ 2% และการจ้างงานในระดับสูง
แม้เจ้าหน้าที่เฟดหลังการประชุมมิถุนายนจะระบุว่า ความไม่แน่นอนเรื่องนโยบายการค้าลดลงจากช่วงฤดูใบไม้ผลิ แต่ในความเป็นจริง ประเด็นการค้าระหว่างประเทศยังคงไม่แน่นอนอยู่มาก
นักวิเคราะห์จาก Citi คาดว่า รายงานการประชุมจะระบุว่าทิศทางของอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจในเดือนมิถุนายน กรกฎาคม และสิงหาคม ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่เจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กล่าวในการให้ถ้อยคำต่อสภาคองเกรส ทั้งนี้พาวเวลได้เปิดทางไปสู่การปรับลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน หากเงินเฟ้อจากภาษีไม่กลายเป็นปัญหาเรื้อรัง และเศรษฐกิจยังจ้างงานได้เพียงพอ
นักวิเคราะห์จาก Citi ระบุว่า “ช่วงเวลาของการรอดูสถานการณ์อาจสิ้นสุดลงภายในฤดูร้อนนี้”
ข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐที่จะเผยแพร่ในสัปดาห์หน้า จะเป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลสำคัญที่ช่วยบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังเปลี่ยนผ่านจากยุคของภาษีนำเข้าต่ำ (เฉลี่ย 2.5%) ไปสู่ยุคของภาษีที่อาจสูงถึง 16% หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับระดับภาษีสุดท้ายที่กำหนด
ทรัมป์ได้ใช้ถ้อยคำที่รุนแรงหลายครั้งในการโจมตีพาวเวล และเรียกร้องให้เฟดลดดอกเบี้ยลงทันที แต่เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่ยังคงระมัดระวัง โดยในจำนวน 19 คน มีเพียง 2 คนที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ อีก 8 คนเห็นด้วยกับการลด 2 ครั้ง และอีก 9 คนไม่เห็นด้วยหรือต้องการลดเพียง 1 ครั้ง
นักลงทุนในตลาดคาดว่าเฟดจะเริ่มลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายน แต่นั่นขึ้นอยู่กับทิศทางของเงินเฟ้อ หากธุรกิจผลักต้นทุนภาษีนำเข้าไปยังราคาสินค้าในวงกว้าง
การคาดการณ์ล่าสุดของเฟดสะท้อนว่าผู้กำหนดนโยบายมองผ่านแรงกดดันเงินเฟ้อในระยะสั้น โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะเร่งตัวขึ้นในช่วงที่เหลือของปี 2568 แล้วกลับมาชะลอตัวในปี 2569 แม้อัตราดอกเบี้ยจะลดลง
แต่ในทางปฏิบัติ เฟดยังต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบว่าจะลดดอกเบี้ยเมื่อใด และมากแค่ไหน
เมื่อภาษีรอบใหม่เริ่มบังคับใช้วันที่ 1 สิงหาคม และอาจมีมาตรการเพิ่มเติมตามมา โจนาธาน พิงเกิล หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ UBS คาดว่า เงินเฟ้อที่วัดโดยดัชนี PCE ซึ่งเป็นดัชนีที่เฟดให้ความสำคัญ จะเพิ่มขึ้นเป็น 3.4% ภายในสิ้นปี สูงกว่ากรอบเป้าหมายของเฟดที่ 2% และสูงกว่าที่เฟดคาดไว้ ขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจอาจชะลอลงเหลือเพียง 1%
โดยหลักการแล้ว ราคาที่เพิ่มขึ้นจากภาษีควรเป็นการปรับตัวครั้งเดียว ซึ่งจะกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนและการเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมถึงอาจกระทบต่อการจ้างงาน
“นโยบายการเงินที่ตึงตัวไม่สามารถช่วยยับยั้งเงินเฟ้อประเภทนี้ได้” พิงเกิลกล่าว และเสริมว่า “แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทำให้เฟดยากที่จะประกาศว่าเงินเฟ้อรอบนี้จะเป็นเพียงชั่วคราว แล้วตัดสินใจลดดอกเบี้ย”
เขาเตือนด้วยว่า ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ เฟดก็ยังอาจไม่สามารถระบุได้ว่าแรงกดดันเงินเฟ้อเกิดจากปัจจัยชั่วคราวหรือถาวร
“สิ่งที่พวกเขาจะรู้แน่ ๆ ก็คือ อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูงนั้นไม่เหมาะกับปัญหาเงินเฟ้อแบบนี้ แถมยังเสี่ยงทำให้ตลาดแรงงานที่อ่อนแออยู่แล้วแย่ลงไปอีก”
อ้างอิง : reuters.com