ไม่ใช่เหล้า! หญิงนอนตัวเหลือง "ตับแข็งเหมือนหิน" เซ่นน้ำที่ดื่มเข้าไป แพทย์ชี้เสี่ยงตายสูง
ใช้ไม่ปรึกษาแพทย์! หญิง 60 ดื่มน้ำสมุนไพรหวังรักษาตับ กลับพาตับ “แข็งเหมือนหิน” เตือนอย่าหลงเชื่อ เสี่ยงตายสูง!
ตามรายงานระบุว่า โรงพยาบาล Bệnh Nhiệt đới Trung ương ประเทศเวียดนาม เพิ่งรับผู้ป่วยหญิงวัย 60 ปีจากจังหวัดบั๊กนินห์ เข้ามาในสภาพวิกฤต หลังมีอาการตับอักเสบรุนแรงจากภาวะตับแข็งระยะสุดท้าย โดยสาเหตุเกิดจากการดื่มน้ำจากสมุนไพร นาน 2 เดือน เพื่อหวังรักษาไวรัสตับอักเสบบีด้วยตัวเอง
ก่อนหน้านี้ ผู้ป่วยรายนี้มีอาการตัวเหลืองผิดปกติ และได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบบีชนิดรุนแรง แพทย์แนะนำให้เข้ารับการรักษาตามแนวทางทางการแพทย์ แต่เธอกลับเลือกใช้วิธีแพทย์ทางเลือก โดยดื่มน้ำต้มสมุนไพร ตามคำแนะนำของคนรู้จักที่อ้างว่าช่วยบำรุงและฟื้นฟูตับ
อย่างไรก็ตาม หลังดื่มต่อเนื่องนาน 2 เดือน อาการของเธอกลับแย่ลง เริ่มมีอาการอ่อนเพลีย ท้องโต ตัวและตาเหลืองเข้ม จนในที่สุดต้องรีบเข้ารับการรักษา โดยผลการตรวจพบว่า ตับของผู้ป่วยแข็งตัวรุนแรงถึงขั้น “เหมือนหิน” แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นตับแข็งระยะสุดท้าย พร้อมภาวะท้องมาน และตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสบี เสี่ยงเสียชีวิตหากไม่ปลูกถ่ายตับด่วน
นพ.เหงียน วัน ตวน (Nguyễn Văn Tuấn) รองหัวหน้าภาควิชาโรคตับ ระบุว่า “ผู้ป่วยมีภาวะตับแข็งระยะสุดท้ายอย่างรุนแรง ค่าเลือดแข็งตัว (PT) ต่ำเพียง 21% ระดับบิลิรูบินรวมสูงกว่า 600 หากไม่ได้รับการปลูกถ่ายตับโดยด่วน มีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก”
“ตับอักเสบบี” ภัยเงียบที่ควรตระหนัก และสมุนไพรไม่ช่วยกำจัดไวรัส!
ทั้งนี้ คุณหมอยังแชร์อีกหนึ่งกรณี คือชายวัย 43 ปีจากเมืองไฮฟอง ที่เข้าตรวจสุขภาพหลังมีอาการปวดขาโดยไม่ตั้งใจ แต่พบว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเช่นกัน โดยมีค่าการทำงานของตับและปริมาณไวรัสสูงกว่าปกติถึง 5 เท่า พร้อมภาวะท่อน้ำดีอุดตัน จากการตรวจ MRI ยังพบก้อนเนื้องอกขนาด 30x26 มม. ที่ตับ สะท้อนให้เห็นอันตรายจากการไม่ตรวจสุขภาพตับเป็นประจำ
กรณีดังกล่าวชี้ให้เห็นถึงอันตรายจากการละเลยการตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบี โดยเฉพาะเมื่อโรคมักไม่มีอาการในระยะแรก หากปล่อยไว้โดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ตับแข็ง หรือแม้แต่มะเร็งตับ จึงแนะนำว่า การตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบีเป็นวิธีที่เรียบง่าย ค่าใช้จ่ายไม่สูง แต่มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคร้ายแรง ทั้งต่อตนเอง ครอบครัว และชุมชน
“ไวรัสตับอักเสบบีสามารถควบคุมและรักษาได้ หากตรวจพบตั้งแต่เนิ่นๆ ควรตรวจคัดกรองไวรัสตับอักเสบบีอย่างน้อยปีละครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่มีประวัติโรคตับในครอบครัว” นพ.เหงียน วัน ตวน กล่าวเพิ่มเติม
แม้ว่าสมุนไพรอย่างต้นอานซัวจะได้รับการกล่าวขานว่า “ช่วยบำรุงตับ” แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดยืนยันว่าสามารถกำจัดไวรัสตับอักเสบบีได้ ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีควรติดตามอาการกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และไม่ควรพึ่งพาสมุนไพรหรือการรักษาแบบทางเลือกโดยขาดข้อมูล
ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้สมุนไพรโดยปราศจากคำแนะนำจากแพทย์ และตรวจสุขภาพตับเป็นประจำ คือกุญแจสำคัญในการป้องกันโรคตับร้ายแรงจากไวรัสตับอักเสบบี