เปิดอาการแรกเริ่ม "เชื้อเริมขึ้นสมอง" ใครมีดังนี้ ไปพบแพทย์ด่วน
"หมอเจด" นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุว่า
แห่ห่วง “เก๋ ชลลดา"
ปวดหัวคิดว่าไมเกรน สุดท้าย "เยื่อบุสมองอักเสบ" จากเริม!
หลายคนคงเห็นข่าวของคุณเก๋ ชลลดา ที่ตอนแรกปวดหัวแรง ๆ จนคิดว่าไมเกรนกำเริบ แต่สุดท้ายไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลย กลายเป็น “เยื่อบุสมองอักเสบจากเชื้อเริม” (Herpes Simplex Encephalitis)
ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายมาก ถึงขั้นเสียชีวิตได้ เรื่องนี้ทำให้หมออยากชวนทุกคนมารู้จักเชื้อเริมกันใหม่
ว่ามันไม่ได้เป็นแค่ตุ่มน้ำใสที่ปาก และที่สำคัญมันสอนให้เรารู้ว่าการดูแลภูมิคุ้มกันตัวเองสำคัญขนาดไหน
เรื่องนี้เป็นยังไง เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังครับ
1. เชื้อเริมไม่ไกลตัวอย่างที่คิด
เวลาได้ยินคำว่า “เริม” หลายคนคงนึกถึงแผลที่ปากใช่ไหมครับ?
แต่ความจริงเชื้อนี้มันมีอยู่ 2 แบบหลัก ๆ เลย:
•HSV-1: ตัวที่ทำให้เป็นเริมที่ปากหรือในช่องปาก
•HSV-2: ตัวที่ทำให้เป็นเริมที่อวัยวะเพศ
และที่น่าตกใจคือ…มันสลับที่กันได้ด้วยนะ เช่น ถ้าทำออรัลเซ็กส์ก็มีโอกาสที่ HSV-1 จะไปติดอวัยวะเพศ หรือ HSV-2 มาติดที่ปากได้
สิ่งที่ทำให้เริมแพร่ได้ง่ายคือ “สัมผัสโดยตรง” ไม่ว่าจะจูบ มีเพศสัมพันธ์ หรือใช้ของร่วมกันอย่างแก้วน้ำ ช้อน ผ้าเช็ดตัว
แม้กระทั่งคนที่ไม่มีตุ่มน้ำ ไม่มีอาการ ก็ยังสามารถแพร่เชื้อได้ เพราะไวรัสมัน “ซ่อนอยู่” และปล่อยออกมาเงียบ ๆ แบบที่เรียกว่า Asymptomatic Shedding
พอเชื้อเข้าร่างกายแล้ว มันจะไปซ่อนอยู่ตามปมประสาท และอยู่กับเราไปทั้งชีวิตเลยครับ!
ร่างกายเราเหนื่อย เครียด พักผ่อนน้อย หรือภูมิคุ้มกันตกเมื่อไหร่ มันพร้อมโผล่มาเล่นงานทันที
2. เริมไม่ได้อยู่แค่ปากกับจุดซ่อนเร้น
หลายคนคิดว่าเริมเป็นโรคผิวหนังเล็ก ๆ แต่ความจริงมันไปได้เกือบทุกที่ในร่างกาย โดยเฉพาะคนที่ภูมิคุ้มกันต่ำ อย่างเช่น
•เริมที่ตา: ทำให้ปวดตา น้ำตาไหล ตาแดง ถ้าไม่ได้รักษาทัน อาจทำให้ตาบอดได้เลย
•เริมที่นิ้วมือ: เจอบ่อยในหมอ พยาบาล หรือเด็กที่ชอบดูดนิ้ว เป็นตุ่มน้ำใสปวดบวม นิ้วแดง ๆ เรียกว่า Herpetic Whitlow
•เริมในนักกีฬา: โดยเฉพาะนักมวยปล้ำหรือกีฬาที่มีการปะทะตัว เรียกว่า Herpes Gladiatorum เป็นตุ่มใส ๆ ตามลำตัว แขน ขา
•เริมในคนเป็นผื่นภูมิแพ้: ถ้าผิวหนังอักเสบแล้วติดเริมเข้าไป เชื้อจะลามเร็วและแรง เรียกว่า Eczema Herpeticum ถือเป็นภาวะฉุกเฉินเลย
ที่หนักสุดคือ ถ้าเชื้อลงกระแสเลือดไปอวัยวะภายใน เช่น หลอดอาหาร ปอด หรือตับ
จะทำให้อักเสบและอันตรายถึงชีวิตได้ โดยเฉพาะทารกหรือคนภูมิคุ้มกันต่ำ
3.เชื้อเริมขึ้นสมอง = ภาวะฉุกเฉิน ที่โรงพยาบาล
ภาวะนี้เรียกว่า Herpes Simplex Encephalitis (HSE)
คือเชื้อเดินทางตามเส้นประสาทไปสมอง ทำให้สมองอักเสบ ซึ่งอันตรายถึงขั้นพิการถาวรหรือเสียชีวิตได้เลย
ปัญหาคืออาการเริ่มแรกมันดันเหมือนไข้ธรรมดา หรือไมเกรนมาก ๆ เลย
เช่น ไข้สูง ปวดหัว คลื่นไส้ อ่อนเพลีย ทำให้หลายคนชะล่าใจ แต่สิ่งที่บอกว่า “ไม่ธรรมดาแล้ว” คือ
•เริ่มสับสน พูดจาวกวน
•บุคลิกเปลี่ยนไป จากเงียบ ๆ กลายเป็นก้าวร้าว หรือเหมือนคนหลอน
•ชัก แขนขาอ่อนแรง พูดไม่ชัด
ทุกนาทีสำคัญมาก: ถ้าเจอคนปวดหัวแรง ๆ มีไข้ ร่วมกับสติเปลี่ยน ซึม หรือบุคลิกแปลก รีบไปโรงพยาบาลทันที
เพราะการรักษาที่เร็วคือกุญแจช่วยชีวิต ต้องเจาะน้ำไขสันหลังวินิจฉัย และให้ยาต้านไวรัสผ่านเส้นเลือดด่วนที่สุด
4.แล้วจะแยกยังไงว่าเป็นไมเกรนหรือสมองอักเสบ?
นี่คือคำถามที่หลายคนสงสัยหลังข่าวนี้ ผมสรุปแบบง่าย ๆ
•ไมเกรน: ปวดตุบ ๆ ข้างเดียว มีประวัติเคยปวดแบบเดิม ไม่มีไข้ สติปกติ ระหว่างไม่ปวดคือใช้ชีวิตปกติ
•สมองอักเสบ/เยื่อบุสมองอักเสบ: ปวดหัวแรง + ไข้สูง + คอแข็ง + สติเปลี่ยน + อาจชักหรือแขนขาอ่อนแรง
ถ้าปวดหัวครั้งแรกในชีวิตแบบแรงสุด ๆ หรือมีอาการไม่เหมือนเดิม โ
ดยเฉพาะมีไข้หรือสติเปลี่ยน อย่าเดาเอง ให้หมอช่วยแยกโรค เพราะสมองอักเสบต้องแข่งกับเวลา แต่ยังไงถ้ามีอาการแบบไหนก็ควรไปหาหาหมอนะ
5. แล้ววัคซีนเริมมีหรือยัง?
คำถามนี้หลายคนอยากรู้ คำตอบคือ ตอนนี้ (กลางปี 2025)
ยังไม่มีวัคซีนป้องกันเริมที่ใช้ได้ทั่วไป เพราะเชื้อนี้มันเก่งมาก ชอบซ่อนตัวในปมประสาท ทำให้ภูมิคุ้มกันเข้าถึงยาก
แต่ข่าวดีคือมีหลายบริษัททั่วโลกกำลังทำวัคซีน ทั้งแบบ mRNA (เหมือนวัคซีนโควิด) และวัคซีนโปรตีน
บางตัวอย่างของ Moderna และ BioNTech กำลังทดลองในมนุษย์ ระยะที่ 1–2 ถ้าผ่านทั้งหมดในอนาคตเราอาจได้เห็นวัคซีนที่ช่วยป้องกันหรือลดความรุนแรงของการติดเชื้อเริมได้จริง ๆ
สรุปนะครับตอนนี้เรายังต้องพึ่งการป้องกันตัวเองและดูแลภูมิคุ้มกันเป็นหลัก แต่เส้นทางของวัคซีนเริ่มเห็นความหวังแล้วครับ
ฝากด้วยนะทุกคน เชื้อเริมไม่ได้ไกลตัว และไม่ได้เป็นแค่แผลที่ปาก
สิ่งสำคัญคือภูมิคุ้มกัน ถ้าตกเมื่อไหร่ เชื้อพร้อมเล่นงานทันที
ถ้ามีอาการแบบที่ผมบอก อย่ารอ รีบไปโรงพยาบาล
การดูแลร่างกายพื้นฐานกินดี นอนพอ จัดการความเครียด
ก็จะลดความเสี่ยงได้ ใครมีคำถามคอมเมนต์ได้เลยนะครับ