ส่งสัญญาณ! โอกาสทองนิคมฯไทย โรงงานย้ายฐาน คลังสินค้าใหม่ผุดลงทุน
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและนโยบายการค้าที่เข้มข้นขึ้น โดยเฉพาะการที่รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ล่าสุด ได้ประกาศจัดเก็บภาษีนำเข้าจากไทยที่อัตรา 19% กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่กำลังผลักดันให้ประเทศไทยอาจก้าวขึ้นมาเป็นจุดหมายของนักลงทุนต่างชาติ
สถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้สร้างความกังวลเพียงอย่างเดียว แต่ยังกลายเป็นสัญญาณบวกที่ส่งผลต่ออสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมในไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่นักลงทุนต่างชาติเริ่มมองหาฐานการผลิตและศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากกำแพงภาษี ซึ่งกำลังทำให้ตลาดคลังสินค้าและโรงงานให้เช่ากลับมาคึกคักยิ่งขึ้น
จากการข้อมูลของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) และข้อมูลจากหลายแหล่งระบุว่า แม้นโยบายภาษีของสหรัฐฯ จะทำให้ผู้ลงทุนบางส่วนชะลอการตัดสินใจเพื่อรอความชัดเจน แต่ในทางกลับกันก็เร่งให้นักลงทุนอีกจำนวนมากตัดสินใจย้ายฐานการผลิตเข้ามาในไทยเพื่อเป็นฐานการส่งออกใหม่ และเพื่อรองรับการเติบโตของตลาดอาเซียน โดยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2568 การอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 30% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2567 สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในการลงทุนที่ยังคงมีอยู่สูง
ในมิติของอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม ผลจากกระแสดังกล่าวทำให้เกิดความต้องการเช่าพื้นที่คลังสินค้าและโรงงานสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูลจาก EIC ยังชี้ว่า ธุรกิจคลังสินค้าให้เช่ายังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยในปี 2568 โดยได้รับแรงหนุนจากการกระจายฐานการผลิตในภูมิภาค การเติบโตของอีคอมเมิร์ซ และการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า
แม้ว่ายอดโอนที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมในปี 2568 จะคาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ 3,000 ไร่ จากปี 2567 ที่มียอดโอนอยู่ที่ 4,700 ไร่ แต่ความต้องการใช้พื้นที่โรงงานสำเร็จรูปให้เช่ายังคงเติบโตจากกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการลดต้นทุนการก่อสร้างและเริ่มต้นการผลิตอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรมยังได้กลายเป็น สินค้าที่น่าสนใจสำหรับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากมีรายได้ที่มั่นคงจากค่าเช่า สวนทางกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัยที่ยังคงเผชิญกับปัจจัยท้าทายหลายประการ โดยล่าสุดผู้พัฒนาอสังหาฯ หลายรายได้เริ่มขยายมาสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่ออุตสาหกรรม โดยต้องการที่จะกระจายพอร์ตธุรกิจให้มีความหลากหลาย
ตัวอย่างเช่น เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ (SENA) ร่วมทุนกับ "มิตซูบิชิ โลจิสติคส์" จากญี่ปุ่น เปิดตัวโครงการ SENA MLC 1 ที่บางนา กม.23 พัฒนาคลังสินค้าและโรงงานในรูปแบบ Green Logistics ถือเป็นการรุกเข้าสู่อสังหาฯ อุตสาหกรรมครั้งสำคัญ
รวมถึง เอสซี แอสเสทก็ได้ประกาศแผนขยายธุรกิจคลังสินค้าให้เช่าอย่างเต็มตัวในทำเลสำคัญ เช่น บางนา, EEC และ อยุธยา-วังน้อย ด้วยเป้าหมายพื้นที่รวมกว่า 700,000 ตร.ม. ภายในปี 2572 ซึ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงทิศทางที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ กำลังให้ความสำคัญกับธุรกิจกลุ่มนี้มากขึ้น
อีกทั้ง แสนสิริ ก็ได้ร่วมกับพรอสเพค จับมือกันตั้งบริษัท BFT ZD รุกพัฒนาคลังสินค้าและโรงงานให้เช่าบนพื้นที่กว่า 100,000 ตารางเมตร ที่วังน้อย อยุธยา ใช้งบลงทุนเฟสแรก 500 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางโอกาสนี้ ประเทศไทยก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทายสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นความผันผวนของค่าเงินบาท การขาดแคลนแรงงานในบางอุตสาหกรรม และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ต้องอาศัยการสร้างความเชื่อมั่นและการกำหนดนโยบายที่ชัดเจนและต่อเนื่องของภาครัฐ ซึ่งอาจทำให้โอกาสนี้กลายเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว