"ดร.รุ่ง" ย้ำพร้อมคุมดอกเบี้ยเชิงรุก–จับมือรัฐบาลใกล้ชิด
ในห้วงเวลาที่เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน จากภาวะการส่งออกซบเซา ความเปราะบางของหนี้ครัวเรือน ไปจนถึงความไม่แน่นอนทางการเมืองและการบริหารประเทศ
หนึ่งในตำแหน่งที่ถูกจับตามากที่สุดเวลานี้ คือ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ ที่จะเข้ามารับไม้ต่อจาก ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ซึ่งกำลังจะหมดวาระในเดือนกันยายน 2568
ภายใต้ความคลุมเครือของกระบวนการแต่งตั้งผู้ว่าธปท. ซึ่งล่าสุดมีรายงานว่า คณะรัฐมนตรี(ครม.) เลื่อนการรับรองออกไปอีกอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ธปท. ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว บลูมเบิร์ก เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ดร.รุ่งกล่าวว่า พร้อมจะ “ทำงานเชิงรุกมากขึ้นเล็กน้อย” โดยเฉพาะในประเด็นสำคัญอย่างการชี้นำอัตราดอกเบี้ย พร้อมเน้นย้ำความจำเป็นที่นโยบายการเงินและการคลังจะต้อง “ประสานกันมากกว่าที่เป็นอยู่” เพื่อให้การใช้ทรัพยากรที่จำกัดเกิดประสิทธิภาพสูงสุด
“กระสุนทุกนัดต้องแม่นยำ เราจะทำได้ก็ต่อเมื่อร่วมมือกันจริง ๆ” ดร.รุ่งกล่าว
คำพูดของเธอไม่เพียงแต่สะท้อนความชัดเจนในแนวนโยบาย หากยังชี้ถึงทัศนะการบริหารเชิงยุทธศาสตร์ ที่มองเศรษฐกิจในภาพใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ตลาดทุนไทยตกอยู่ในสถานะ “รั้งท้ายโลก” และเศรษฐกิจต้องการแรงส่งใหม่ที่สมดุลระหว่างวินัยการเงินกับการฟื้นตัวที่ไม่ทอดทิ้งคนเปราะบาง
น่าสนใจว่า จุดยืนของดร.รุ่ง สะท้อนแนวทาง “ต่อเนื่อง” กับยุคของดร.เศรษฐพุฒิ ที่ยืนหยัดต่อแรงกดดันจากฝ่ายการเมือง ไม่ยอมปรับลดดอกเบี้ยหรือขยายกรอบเงินเฟ้ออย่างง่ายดาย แม้จะถูกวิจารณ์ว่าธปท. “ตามหลัง” ความคาดหวังของภาคธุรกิจและตลาดในบางจังหวะ
อย่างไรก็ตาม ดร.รุ่งยังให้ภาพที่แตกต่าง ด้วยการเสนอแนวทางรับฟังผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ภาคการเงิน หรือภาคเอกชน—เพื่อให้การกำหนดนโยบายมีความเข้าใจรอบด้าน ไม่กลายเป็น “การเผชิญหน้า” ในภายหลัง
“เราต้องคุยกันตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้แก้ปัญหาได้ทัน ไม่ปล่อยให้ลุกลาม”
อีกหนึ่งประเด็นที่ดร.รุ่งชี้ให้เห็น คือ หากไม่ชี้นำทิศทางดอกเบี้ยอย่างชัดเจน อาจทำให้ธนาคารพาณิชย์ลังเล ไม่ลดดอกเบี้ยตาม ส่งผลให้การส่งผ่านนโยบายการเงินไปสู่เศรษฐกิจจริงไม่สัมฤทธิผล
นี่จึงเป็นที่มาของคำว่า “เชิงรุกมากขึ้นเล็กน้อย” ที่ไม่ใช่การลดดอกเบี้ยแบบสิ้นเชิง หากแต่หมายถึงการวางท่าทีและสื่อสารนโยบายให้ชัดเจนพอที่จะสร้างความมั่นใจและการตอบสนองที่มีประสิทธิภาพ
ขณะที่คู่แข่งคนสำคัญอย่าง นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ถูกมองว่าใกล้ชิดกับกระทรวงการคลัง และเป็นฝ่ายผลักดันการลดดอกเบี้ยอย่างเปิดเผย จุดยืนที่แตกต่างกันของทั้งสองคน จึงไม่ได้มีนัยเพียงเรื่องอัตราดอกเบี้ยเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวพันถึง “ความเป็นอิสระของธนาคารกลาง” ในบริบททางการเมืองที่กำลังสั่นคลอน
ด้วยประสบการณ์ในแวดวงการเงินทั้งในและนอก ธปท. กว่า 30 ปี ดร.รุ่งจึงไม่ใช่แค่ผู้สมัครที่มีความรู้ลึกเรื่องเครื่องมือนโยบาย หากยังเข้าใจโครงสร้างระบบเศรษฐกิจแบบองค์รวม ทั้งระดับมหภาคและจุลภาค
“เครื่องมือของแบงก์ชาติไม่ได้มีแค่ดอกเบี้ย… ขอบเขตงานกว้างใหญ่มาก ดิฉันอยากนำประสบการณ์นี้มาใช้”
บทสัมภาษณ์ครั้งนี้ของดร.รุ่งจึงเป็นมากกว่าการแสดงวิสัยทัศน์ของผู้สมัคร มันคือบทสะท้อนสำคัญของการออกแบบนโยบายเศรษฐกิจไทยในยุคที่ความไม่แน่นอนกลายเป็นเรื่องแน่นอน
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่แค่ “ใครจะได้เป็นผู้ว่าการธปท.” เท่านั้น แต่ยังรวมถึงว่า “นโยบายการเงินไทยจะเดินไปทางไหน” ภายใต้พายุเศรษฐกิจที่ยังไม่สงบ