โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ไลฟ์สไตล์

ทูตเยอรมันคนแรกในสยามวีนแตกในทริปไปอยุธยา บ่นที่พักแย่ ไล่พระเพื่อเข้านอนแทน

ศิลปวัฒนธรรม

อัพเดต 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา
กราฟ ฟรีดิช ซู ออยเลนบวร์ก (Graf Friedrich zu Eulenberg) ภาพจาก Preussische Expedition nach Ost-Asien, 1860-1862

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เป็นช่วงที่สยามเริ่มเปิดความสัมพันธ์กับนานาประเทศมากขึ้น และในสมัยนี้เองที่สยามเริ่มคบค้ากับเยอรมนีในฐานะประเทศซึ่งถ่วงดุลอำนาจฝรั่งเศสและอังกฤษ เยอรมนีส่ง “ทูตเยอรมัน” คนแรกมาเยือนสยามช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 4 ราชทูตรายนั้นคือ กราฟ ฟรีดิช ซู ออยเลนบวร์ก (Graf Friedrich zu Eulenberg) ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นอัครราชทูตของปรัสเซียเมื่อ ค.ศ. 1859 นำคณะราชทูตไปสำรวจ เปิดสัมพันธไมตรี และเจรจาสนธิสัญญาการค้ากับประเทศเอเชียตะวันออก

[ณ ช่วงเวลานี้ ชาวเยอรมันรัฐต่าง ๆ ยังไม่มีการรวมชาติ ในดินแดนเยอรมนีมีปรัสเซียเป็นรัฐใหญ่ที่ทรงอำนาจมากที่สุด และจะเป็นแกนนำในการรวมชาติเยอรมันในระยะเวลาต่อมาคือ ค.ศ. 1871]

ออยเลนบวร์ก ถือกำเนิดในปรัสเซีย เมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นอัครราชทูตก็สามารถปฏิบัติหน้าที่สำเร็จลุล่วง โดยเจรจาทำสนธิสัญญากับญี่ปุ่นเมื่อเดือนมกราคม ค.ศ. 1861 และจีนเมื่อเดือนกันยายนปีเดียวกัน จากนั้นจึงเดินทางมาสยาม และทำสนธิสัญญาทางการค้าและเดินเรือเมื่อกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1862 ในสมัยรัชกาลที่ 4 เป็นสนธิสัญญาทางการฉบับแรกระหว่างเยอรมนีและสยาม

ออยเลนบวร์ก เดินทางมาถึงสยามเมื่อเดือนธันวาคม ค.ศ. 1861 ในการทำภารกิจครั้งนี้เขาเขียนจดหมายบันทึกบรรยายเรื่องราวเกี่ยวกับภารกิจ และสภาพต่างๆ ระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ส่งไปถึงน้องชายคือ กราฟ ฟิลิปป์ ซู ออยเลนบวร์ก เนื้อหาในจดหมายเป็นการบอกเล่าความเป็นอยู่ วิถีชีวิต และภารกิจในการเดินทางมาเอเชียตะวันออกตั้งแต่ออกเดินทาง บันทึกเรื่อยมาจนถึงญี่ปุ่น จีน และสยาม เขียนในรูปแบบบันทึกประจำวันซึ่งเนื้อหาย่อมมีรายละเอียดบอกเล่าข้อมูลในเชิงประวัติศาสตร์ด้วย

ออกเดินทางไปเที่ยวชมอยุธยา

ในช่วงต้นปี 1862 เนื้อหาในจดหมายช่วงหนึ่ง ออยเลนบวร์ก เขียนเล่าถึงทริปการเดินทางไปอยุธยาโดยเรือที่เรียกว่า “Arrow” จดหมายลงวันที่ 30 มกราคม 1862 เล่าถึงวันแรกของการเดินทางว่า คณะเดินทางกลุ่มหนึ่งที่มาพร้อมกับออยเลนบวร์ก ขึ้นเรือชื่อ“Royal Seat” ออกไปก่อนเที่ยวหนึ่งในเวลา 2 ทุ่ม ออยเลนบวร์ก อธิบายว่า เป็นเพราะเรือแล่นช้ากว่า Arrow จึงล่วงหน้าไปก่อน ส่วนตัวเขาเองขึ้นเรือ Arrow ตอน 3 ทุ่ม แรกเริ่มก่อนเดินทางไป ออยเลนบวร์ก บรรยายในจดหมายว่า

“ฉันเห็นมีการจุดคบเพลิงสว่างไสว มีทหารเรือและวงดนตรีตบเท้ามาเข้าแถวเต็ม พอเรือเริ่มออกทหารได้ส่งเสียงโห่ร้อง ฮูร่าดังก้อง พร้อมกับโบกธง และดนตรีก็เริ่มบรรเลงเพลงมาร์ชคึกคักทำนองเพลงปลุกใจให้รักชาติ และแล้ว ในไม่ช้าฉันก็ต้องเข้านอนบนเตียงนอนน่ารักจุ๋มจิ๋ม ในเคบินสวยงามที่เย็นดีทีเดียว ฉันปล่อยตัวเองให้อยู่ในความดูแลของกัปตันและเหล่าทหารเรือของสยามอย่างสุขสบายเต็มที่”

บรรยากาศในวันออกเดินทางจากการบรรยายทำให้เห็นว่าเต็มไปด้วยความแจ่มใสทีเดียว แต่ในวันรุ่งขึ้น เมื่อออยเลนบวร์ก อยู่ระหว่างทาง เขากลับเล่าเรื่องราวที่พลิกกลับอีกด้านจากความหวังรับความสุขสบายตามที่คิดในวันแรก

ยามเช้าของวันที่ 31 มกราคม เขาเขียนเล่าว่า เขาตื่นมา 6 โมงเช้า สภาพอากาศเวลานั้นหนาวเย็นมาก แม่น้ำแยกออกเป็นแควหลายสาย เป็นสายน้ำเล็กๆ แคบกว่าแม่น้ำสายหลัก ในแม่น้ำมีปลาชุกชุม ขณะแล่นเรือมีปลาตัวใหญ่ยาวเกือบหนึ่งศอกกระโดดขึ้นมาบนท้องเรือที่ออยเลนบวร์ก และพวกโดยสาร พวกทหารจัดการให้ปลาตัวนั้นกลายเป็นอาหารเช้า

เรือ Arrow มาถึงอยุธยาเวลา 10 โมงเช้า ชั่วโมงต่อมา เรืออีกลำจึงมาสมทบ จดหมายที่ลงวันที่ 31 ธ.ค. 1862 เอ่ยถึงสภาพที่เริ่มวุ่นวายเล็กน้อยก่อนในตอนหนึ่งว่า (จัดย่อหน้าใหม่เพื่อสะดวกต่อการอ่านออนไลน์-กองบก.ออนไลน์)

“สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีรับสั่งให้เจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งมาทำหน้าที่มัคคุเทศก์ไปกับพวกเรา ท่านผู้นี้ได้เดินทางล่วงหน้ามาถึงอยุธยาก่อนแล้ว เราจะไปพบกับท่านที่นั่น ล่ามประจำบ้านของเรา นายเฮนดริช (Hendrix) จึงออกเที่ยวเดินหาท่านผู้นั้น ในไม่ช้าก็เดินกลับมาพร้อมกับชายร่างอ้วน ยิ้มหวาน แต่งตัวฉุยฉายสะดุดตามาก เขาสัญญาว่าอีกประเดี๋ยวพวกเราจะได้รับเสบียงอาหารลำเลียงมาส่งที่เรือมากมาย เพียงพอสำหรับอีก 2 วันข้างหน้า เมื่อมีความหวังเช่นนั้น เราจึงกินอาหารเช้าทุกอย่างที่เอามาจากบางกอกจนหมด แล้วก็ส่งเรือ Royal Seat กับขบวนผู้เดินทางในลำนั้นออกแล่นนำหน้าไปก่อนเหมือนเดิม

แต่แทนที่เราจะได้เสบียงอาหาร กลับเป็นรองผู้ว่าราชการของตำบลนั้นออกมาขอโทษว่า เขาได้รับข่าวการเดินทางมาของพวกเราช้ามาก จึงจัดการเตรียมให้ไม่ทัน ปล่อยให้เรานั่งคอยปลาและเนื้อสด ซึ่งเป็นหมูครึ่งตัวอยู่ถึงบ่าย 4 โมงเย็นกว่าจะออกเดินทางต่อไปได้…”

ในจดหมายยังเล่าเพิ่มเติมเล็กน้อยว่า พวกคนบนเรือต้องออกล่าไก่แถวนั้นมาเพิ่มเติมด้วย ขณะที่คณะของพวกเขาไม่ได้ลงจากเรือไปไหนเพราะเตรียมเที่ยวชมอยุธยาจนกว่าจะกลับเท่านั้น

หลังจากนั้นเรือก็แล่นต่อ โดยออยเลนบวร์ก เล่าย้อนไปว่า เขาได้บอกให้พรรคพวกในเรืออีกลำ แล่นไปจนถึง 6 โมงเย็นแล้วให้หยุดทอดสมอ เนื่องจากคำนวณแล้วว่าน่าจะไปพบกันตรงจุดพอดี แต่เมื่อเย็นลงใกล้มืดค่ำ เรือของออยเลนบวร์ก ก็ยังไม่ถึง แถมยังเจอเรื่องชุลมุนอีกครั้ง

“ทันใดเราได้ยินเสียงโครมใหญ่ เราได้แล่นเข้าชนเรือบรรทุกข้าวลำใหญ่เข้าแล้ว เรือลำนั้นจมลงไปภายในเวลา 2-3 นาที พวกคนจีนที่อยู่บนเรือต่างตะเกียกตะกายช่วยชีวิตตนเอง ฝ่ายเจ้าหน้าที่ของพระเจ้าอยู่หัวที่นั่งมาในเรืออีกลำที่ผูกโยงกับเรือของเราได้เรียกพวกคนจีนที่ร้องไห้โวยวายมารวมกันต่อหน้า แล้วก็ว่าอะไรพวกเขาเสียงดังเอะอะ

เมื่อฉันไปถามล่ามว่า เขาพูดว่าอะไรกับพวกคนจีนเรือข้าว ฉันก็ได้รับรู้ว่า เขาด่าว่าพวกนั้นใหญ่ แล้วบอกว่าจะไม่เอาเรื่องอะไร นี่ถ้าไม่เห็นว่าเพราะพวกนั้นต้องเสียทรัพย์สินไปหมดแล้วละก็ พวกเขาจะต้องถูกลงโทษอย่างหนักที่อวดดีปล่อยให้เรือกลไฟหลวงชน

ฟังแล้วฉันรู้สึกเหลือทนออกจะมากไปแล้ว ฉันจึงสั่งการให้เรียกเจ้าหน้าที่ผู้นั้นมาหาแล้วก็ตะเพิดเอาว่า เหตุใดเขาจึงอวดดีไปใช้ถ้อยคำหยาบคายด่าว่าผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นต่อหน้าฉัน แล้วฉันก็ล้วงลงไปในกระเป๋า หยิบเงินฟ่อนใหญ่ให้กับคนเรือชาวจีน แม้ว่ากระเป๋าของฉันจะแฟบไปอักโข เอาเถอะเงินนั้นก็เพียงพอให้พวกเขาเอาไปลงทุนค้าขายข้าวใหม่ได้ เหตุการณ์นี้ทำให้ฉันรู้สึกหัวเสียมาก ฉันออกคำสั่งให้ทอดสมอ เรากินข้าวกันบนเรือ เวลากลางคืนอากาศสบายดี”

ไป “พระบาท” ทางบก

หลังจากผ่านเรื่องชุลมุนยามเย็นไปได้ วันต่อมา จดหมายอันลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 1862 เล่าว่า ออยเลนบวร์ก ตื่นตอน 7 โมงครึ่ง พวกเขาเริ่มออกเรือแต่เช้าตรู่ เมื่อเดินเรือได้สักพักก็มาถึงจุดที่ระดับน้ำทำให้แล่นเรือต่อไม่ได้ ในจุดนั้นเองที่ได้พบกับเรือกลไฟของอีกคณะ เส้นทางต่อไปที่จะไปปลายทางคือพระบาทนั้น ต้องไปทางบก เรื่องนี้ออยเลนบวร์ก เล่าไว้ว่า

“เจ้าหน้าที่ของพระเจ้าแผ่นดินชื่อหลวงเสนาภักดี ได้ให้คำรับรองว่าทุกอย่างได้เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรขาดเหลือ แต่ในความเป็นจริง ปรากฏว่าข้าวของหีบห่อถูกบรรทุกใส่เกวียนที่มีล้อใหญ่มโหฬาร ใช้กระบือลากเกวียนละ 2 ตัว โดยมีช้างบรรทุกของออกเดินนำหน้าไปก่อนแล้ว

สำหรับพวกเราสุภาพบุรุษ 8 คน และคนใช้อีก 2-3 คน เหลือช้างให้ขี่อีกเพียง 3 เชือกเท่านั้นเอง เราจึงต้องนั่งคอยจนบ่าย 3 โมง เพราะไม่เคยคิดว่าเขาจะให้เราทั้งหมดเบียดกันขึ้นไปนั่งบนหลังช้าง 3 เชือกได้อย่างไร ทันใดนั้นเราก็ได้ยินว่า อีตาหลวงคนนั้นได้ขึ้นช้างขี่ออกเดินทางล่วงหน้าไปพระบาทก่อนแล้ว เพราะฉะนั้น เราจึงรีบส่งล่ามให้ออกไปค้นหายานพาหนะมาให้เรา

ปรากฏว่าล่ามสามารถจัดหาลูกม้ามาได้ 5 ตัว ฉันจึงขึ้นนั่งบนหลังช้างเชือกหนึ่ง พีเซล (อัครราชทูตพีเซล – Pieschel) และเอากุส (อุปทูตกราฟ เอากุส ซู ออยเลนบวร์ก – Graf August zu Eulenburg) นั่งอีกเชือกหนึ่ง

ส่วนบุนเซล (อุปทูตฟอน บุนเซน – V. Busen) และหมอลูซีอุส (ดร.ลูซีอุส แพทย์ประจำคณะ) นั่งบนหลังช้างเชือกที่สาม และคนอื่นๆ ที่เหลือให้ขี่ลูกม้าไป โดยให้รีบล่วงหน้าไปก่อน เพราะช้างกลัวม้า จึงไปพร้อมๆ กันไม่ได้…”

หากสงสัยเรื่องประสบการณ์ชาวยุโรปในการขี่ช้างนั้น ออยเลนบวร์ก เล่าความลำบากไว้หลายประการ เริ่มแรกนั่นคือการปีนไปนั่งที่พักหลังช้าง “ต้องไต่ต้องปีนกันอย่างทุกลักทุเลจริงๆ” การนั่งเริ่มแรกก็นั่งในท่า “กึ่งนั่งกึ่งนอนขวาง” อยู่บนหลังช้าง แต่เวลาช้างเดินก็รู้สึกขย่มมากจนเปลี่ยนมานั่งหันหน้าไปทางหัวช้าง ปล่อยขาห้อยมาจากขอบของโต๊ะที่นั่ง เอาหมอนมารองใต้เข่ากันเจ็บ

ออยเลนบวร์ก บรรยายสภาพทิวทัศน์ในการเดินทางซึ่งอาจสะท้อนสภาพสยามในยุคนั้นได้บ้างว่า “…ผ่านทุ่งนาที่แห้งแล้งในระยะแรก ต่อมาเป็นลำธาร มีสะพานใหญ่ก่ออิฐถือปูนข้าม จากนั้นเข้าเขตป่าซึ่งมีแต่ต้นไผ่เป็นส่วนใหญ่ กอไผ่ขึ้นดกหนาแน่น กิ่งโค้งปกคลุมทำให้ทางเดินร่มรื่น มองดูสวยงามในตอนแรกๆ แต่นานๆ เข้าก็น่าเบื่อ เพราะทั้งป่าเห็นแต่ต้นไผ่ เงียบเชียบ ไร้ชีวิต ไม่มีนก ไม่มีลิงค่าง ไม่มีอะไรเลย นานๆ เราจะเห็นขบวนเกวียนใช้ควายหรือไม่ก็ใช้ช้างลาก…”

โวยเรื่องที่พักระหว่างทาง

การเดินทางเป็นไปจนถึงมืดค่ำ สมัยนั้นยังไม่มีแสงสว่างเหมือนเช่นปัจจุบัน น่าจะพอจินตนาการได้ว่า ธรรมชาติเวลานั้นมืดมิดดำสนิท แม้แต่ควาญช้างที่นั่งข้างหน้าติดกันก็มองไม่ชัดเจน

หลังจากเดินทางราว 5 ชั่วโมงก็มาถึงพระบาทในเวลา 3 ทุ่ม เริ่มเห็นแสงสว่างจากกองไฟเป็นระยะ พวกเขาย่อมดีใจ เพราะกองไฟหมายถึงอาหารและที่นอน แต่ไม่ง่ายดังนั้น

ออยเลนบวร์ก บรรยายในจดหมายว่า พวกพีเซลที่เดินทางมาถึงก่อน มาหาพวกออยเลนบวร์ก ด้วยสีหน้าบูด พร้อมเล่าถึงสภาพที่พักซึ่งเจ้าภาพจัดไว้ว่า

“…มันเป็นคอกสัตว์ชัดๆ ไม่มีครัว ไม่มีอาหาร ไม่ได้มีการขนอาหารมาเตรียมไว้ให้ และนายคนที่เป็นเจ้าหน้าที่นำทางของพระเจ้าแผ่นดินก็ยังไม่โผล่หน้ามาให้เห็นเลย ด้วยเหตุนี้ จึงต้องส่งคนไปหาผู้ใหญ่บ้านหรือเจ้าเมืองมา

เมื่อท่านผู้นั้นมาถึง เราพยายามพูดออกท่าออกทางประกอบให้ท่านเข้าใจว่าคณะของเราเป็นคนมีเกียรติ สมควรจะได้รับการต้อนรับให้เข้าไปพักในบ้านที่ดีที่สุดของที่นี่ พร้อมได้รับการเลี้ยงอาหารอย่างดีสมฐานะ ขณะที่กำลังพูดจาแนะนำขอความเห็นใจกันอยู่นั้น ตาคุณหลวงผู้เป็นต้นเหตุของความยุ่งยากทั้งหมดเพราะความไม่ใส่ใจดูแลและตระเตรียมงานให้ดีก็โผล่มาพร้อมกับยิ้มหวาน ราวกับว่าทุกอย่างไม่มีอะไรบกพร่อง ทำให้ฉันโกรธมาก

ฉันกำมือแน่นพร้อมกับว่าเขาเป็นภาษาเยอรมันว่า เขาคือคนกะล่อนเหลวไหลเลวทราม แล้วฉันก็สั่งการให้ล่ามแปลให้เขาฟังว่า ถ้าเขาไม่จัดการภายใน 5 นาทีนี้หาที่อยู่ที่เหมาะสมและหาอาหารมาให้พวกเรากินให้ได้ ฉันจะนำเรื่องนี้ขึ้นกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะฟ้องร้องเกี่ยวกับตัวเขา เพราะฉันรู้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานเงินแก่เขาถึง 214 บาท เพื่อนำมาใช้ในการจัดการดูแลพวกเรา มิให้ขาดตกบกพร่องในสิ่งใด

คราวนี้ตาคุณหลวงตกใจกลัว หันหน้าไปแสดงอาการโกรธเกรี้ยวเอากับผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งไม่ใช่คนผิดสักนิดเดียว แล้วก็บอกผ่านล่ามว่า เจ้าฟ้ากรมหลวงทรงมีบ้านอยู่ในตำบลนี้หลังหนึ่ง แต่ตอนนี้บังเอิญมีพระสงฆ์ที่จาริกแสวงบุญมาที่นี่เข้าไปอยู่กันเต็ม แล้วก็นอนหลับหมดแล้วด้วย ฉันจะออกคำสั่งให้ไล่พระสงฆ์ออกไปให้หมดไหมล่ะ ฉันให้สัญญาณมือบอกตกลง…

หลังจากตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ผ่านไป 15 นาที มีผู้นำข่าวมารายงานว่า จัดการให้พระสงฆ์ออกไปจากบ้านหมดแล้ว เชิญให้ออยเลนบวร์ก ไปดูบ้าน ทูตบรรยายว่า ตัวบ้านดูดีไม่เลว แต่ไม่มีครัว

และที่แย่ที่สุดคือพวกพระสงฆ์ที่มาอยู่นั้นได้ทำบ้านเหม็นคลุ้งไปหมด มองดูแล้วรู้สึกว่าพวกท่านได้ทิ้งมด ทิ้งแมลงและแมลงสาบอะไรไว้เต็ม จนฉันต้องบอกว่า เราไม่สามารถเข้าไปอยู่ได้ พร้อมกับร้องขอให้ช่วยทำความสะอาดวังที่เป็นเรือนไม้หลังใหญ่ซึ่งตามปกติเวลาพระเจ้าแผ่นดินเสด็จมาที่นี่จะทรงใช้เป็นที่ประทับให้แทน คำขอร้องของฉันได้รับการปฏิบัติตามทันที…”

สำหรับวังที่เอ่ยถึงนั้น ออยเลนบวร์ก เล่าไว้ว่า ผู้ใหญ่บ้านพร้อมคนจำนวนหนึ่งเข้าไปช่วยกันทำความสะอาด วังแห่งนี้ตามเนื้อหาในจดหมายบอกว่า มีห้องโถงใหญ่ 1 ห้องที่ชั้นล่าง ห้องไม้ขัดแตะเล็กๆ 2 ห้อง กับห้องจิ๋วอีกแห่งที่ชั้นบน คณะเดินทางเข้านั่งในห้องโถงเปิดโล่งร่วมรับประทานอาหารในตอนเที่ยงคืนบนเก้าอี้และม้านั่งซึ่งประดิษฐ์ขึ้นใช้ชั่วคราว แต่เมื่อได้ที่พักพอใจ คณะเดินทางอารมณ์ดี หน้าตาแจ่มใส

“เราดื่มแชมเปญ โดยไม่ยอมแบ่งให้พวกข้าราชการและผู้ใหญ่บ้านที่นั่งอยู่กับพื้นมองพวกเราอยู่ได้ร่วมดื่มด้วย เพื่อเป็นการลงโทษ ตอนประมาณตีสอง เมื่อเราเข้านอน โดยนอนบนเสื่อที่เราเอาติดตัวมาด้วย ปูไปบนพื้นเรือนนั่นแหละ พวกข้าราชการและคณะกรรมการหมู่บ้าน จึงลากลับไป แล้วไฟก็ค่อยๆ ดับมอด”

ในยามค่ำคืนมีลมหนาวพัดรุนแรงจนคณะหนาวสั่น เนื่องจากฝาห้องเป็นเสื่อสาน ลมพัดลอดได้ง่าย

เมื่อถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ คณะมีแผนเดินทางไปวัดซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธบาท ไต่ขึ้นตามเนินเขาถึงยอดที่พระพุทธบาทประดิษฐาน และยังผ่าน “ถ้ำหินอ่อนที่มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่” อยู่ในนั้น

คณะเดินทางกลับในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ช่วงตี 4 คนรับใช้เริ่มเก็บของใส่หีบห่อ ใส่เกวียนเพื่อเดินทางกลับไปที่จอดเรือ คณะจะเดินทางตามไปตอน 7 โมง ซึ่งออยเลนบวร์ก ออกคำสั่งย้ำจนได้ช้าง 13 เชือก มีช้างขี่คนละเชือกได้ ถึงฝั่งแม่น้ำที่ท่าลงเรือในตอนเที่ยงวัน เปลี่ยนจากขี่ช้างไปลงเรือ ออกเดินทางต่อไปถึงอยุธยาตอนเย็น

ไปถึงอยุธยา

ที่อยุธยานั้น ออยเลนบวร์ก เล่าไว้ว่า เจ้าเมืองอยุธยาคนที่หนึ่งในฐานะแม่ทัพ ได้นำทหารไปเขมร เจ้าเมืองคนที่สองจึงเป็นผู้มาต้อนรับ รายนี้มีอายุมากกว่าเจ้าเมืองคนที่หนึ่ง แต่ “ขี้โอ่มาก ไว้เล็บมือยาว ใส่เสื้อแจ็คเกตผ้าไหมสีฟ้าอ่อน แสดงท่าทางว่าพอใจในความหล่อเหลาของตัวเหลือเกิน” ซึ่งเจ้ามืองคนที่สองนี้ ได้รับมอบหมายพาชมสถานที่ต่างๆ โดยนั่งเรือนำแล่นนำหน้าเรือของคณะ

ที่แรกได้ดูวัดแจ้ง (Wat Tscheng) ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปนั่งองค์ใหญ่มหึมาปิดด้วยทองคำเปลว จากคำบอกเล่าของออยเลนบวร์ก ช่างทำให้นึกย้อนถึงสภาพในเวลาต่อมาว่า “ที่นี่มีคนจีนมากราบไหว้บูชาคึกคักส่งเสียงเอะอะ พร้อมกับมีเล่นดนตรีประกอบเสียงดังหูดับตับไหม้”

หลังจาก “วัดแจ้ง” ก็ได้ดูวัดหนึ่งแล้วไปที่วัดภูเขาทอง ออยเลนบวร์ก สนใจวัดนี้และบรรยายว่า ตั้งอยู่กลางทุ่ง มีลักษณะพิเศษงดงาม แต่ “ปรากฏว่าถูกทอดทิ้งทรุดโทรมกว่าที่ท่านบิชอป ปาลเลกัวส์ ได้เคยเขียนบรรยายไว้มากในหนังสือเกี่ยวกับสยามของท่าน”

เมื่อกลับมาถึงเรือกลไฟ ออยเลนบวร์ก มอบแชมเปญเป็นของขวัญให้เจ้าเมือง จากนั้นก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยออกเดินทางตอนเช้าเวลา 6 โมง ถึงกรุงเทพฯ เวลา 10 โมงเช้า

ไม่กี่วันหลังจากกลับถึงกรุงเทพฯ ในวันที่ 7 ก.พ. 1862 จึงปรากฏการเซ็นสัญญาพระราชไมตรีทางการค้า เริ่มตั้งแต่ 9 โมงเช้า พีเซลและผู้ช่วยทูตสลับเปลี่ยนชี้แจงใจความในสนธิสัญญาที่สยามเห็นว่าสำคัญแต่ยังไม่กระจ่าง กิจเสร็จสิ้นในเวลาบ่าย 2 โมง 45 นาที เมื่อการเซ็นสัญญาผ่านไปเท่ากับว่าภารกิจของออยเลนบวร์ก ในเอเชียตะวันออกก็เสร็จสิ้นด้วย

หลังเดินทางกลับถึงประเทศ ออยเลนบวร์ก ได้รับยกย่อง และดำรงตำแหน่งเป็นข้าราชการผู้ใหญ่อันทรงเกียรติ เป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลของออตโต ฟอน บิสมาร์ค (Otto von Bismarck) มีบทบาทในทางการเมืองการปกครอง และถึงแก่กรรมเมื่อปี ค.ศ. 1881

สำหรับบันทึกจดหมายของออยเลนบวร์ก เป็นกราฟ ฟิลิปป์ ออยเลนบวร์ก หลานชายได้รวบรวมแล้วตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อ ค.ศ. 1899 ชื่อ “เอเชียตะวันออก 1860-1862 จดหมายบันทึกของกราฟ ฟรีดริช ซู ออยเลนบวร์ก”

อ่านเพิ่มเติม :

สำหรับผู้ชื่นชอบประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม แง่มุมต่าง ๆ ทั้งอดีตและร่วมสมัย พลาดไม่ได้กับสิทธิพิเศษ เมื่อสมัครสมาชิกนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 12 ฉบับ (1 ปี) ส่งความรู้ถึงบ้านแล้ววันนี้!! สมัครสมาชิกคลิกที่นี่**

อ้างอิง :

สยาม จดหมายบันทึกจากปี ค.ศ. 1862 ของกราฟ ฟรีดริ ซู ออยเลนบวร์ก ราชทูตเยอรมันคนแรกที่มาเยือนสยามในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว. อำภา โอตระกูล แปล. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2562.

เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ 20 เมษายน 2563

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ทูตเยอรมันคนแรกในสยามวีนแตกในทริปไปอยุธยา บ่นที่พักแย่ ไล่พระเพื่อเข้านอนแทน

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.silpa-mag.com

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ศิลปวัฒนธรรม

“การฝังมุก” ของชายชาวกรุงศรีอยุธยาเมื่อราว 600 ปีก่อน ในบันทึกของ “หม่าฮวน”

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

จับแพะ-แพะรับบาป ทำไมต้องเรียกเป็น "แพะ" ???

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความไลฟ์สไตล์อื่น ๆ

ถ่ายทอดสด เอฟเวอร์ตัน พบ ไบรท์ตัน พรีเมียร์ลีก วันนี้ 24 ส.ค.68

PostToday
วิดีโอ

สูตรลับฉบับบ้านนา : ปุ๋ยโตวัยน่าชม จากเปลือกเมล็ดเหรียง

Thai PBS

5 เมนูไก่ยอดฮิต ด้วยหม้อทอดไร้น้ำมัน ทำง่าย อร่อยได้ไม่รู้สึกผิด

sanook.com

เตือนภัยคนรักชา ดื่มมัทฉะเกิน 2 แก้วต่อวัน ระวัง "โลหิตจาง" โดยไม่รู้ตัว

ThaiNews - ไทยนิวส์ออนไลน์

เปิดเงื่อนไขที่ควรรู้ก่อนลงทะเบียนรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายวันพรุ่งนี้

Thairath - ไทยรัฐออนไลน์

เทคนิคละลาย "เนื้อสัตว์แช่แข็ง" รวดเร็วทันใจ เพียงใช้ของใกล้ตัว

sanook.com

Kate Moss จะเป็นพิธีกรรายการพอดแคสต์ใหม่ที่เล่าเรื่องศิลปะของ David Bowie

THE STANDARD

ถ่ายทอดสด พลังกาญจน์ เอฟซี พบ ทรู แบงค็อก ไทยลีก วันนี้ 24 ส.ค.68

PostToday

ข่าวและบทความยอดนิยม

ทูตเยอรมันคนแรกในสยามวีนแตกในทริปไปอยุธยา บ่นที่พักแย่ ไล่พระเพื่อเข้านอนแทน

ศิลปวัฒนธรรม

สำนวนสุภาษิต “ขุนนางใช่พ่อแม่...” ที่เตือนให้อย่าด่วนวางใจใคร

ศิลปวัฒนธรรม

24 สิงหาคม 2549 ดาวพลูโตกลายเป็น “อดีต” ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ

ศิลปวัฒนธรรม
ดูเพิ่ม
Loading...
Loading...
Loading...
รีโพสต์ (0)
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...