โอกาสทางธุรกิจของมาเลเชียตะวันออก & บรูไน ดารุสซาลาม
ในช่วงที่ผมได้รับเกียรติจาก ฯพณฯท่านเอกอัครราชทูตบรูไน ดารุสซาลาม อนุญาตให้นำทีมงานของคณะอนุกรรมการการส่งเสริมการค้า-การลงทุน ของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เข้าไปคารวะท่านที่สถานเอกอัครราชทูตบรูไน ดารุสสลาม ประจำประเทศไทย ผมได้รับการเชิญให้ร่วมทำงานด้านการส่งเสริมการค้า-การลงทุนระหว่างไทย-บรูไนฯ ซึ่งผมจึงได้เริ่มศึกษาถึงการค้า-การลงทุนของที่นั่น ทำให้ทราบว่าประเทศนี้เป็นประเทศที่มีความน่าสนใจอีกเยอะ จึงตั้งใจไว้ว่าจะต้องนำทีมนักธุรกิจไทย ที่สนใจอยากไปทำการค้าที่นั่น ได้เดินทางเข้าไปทำการสำรวจตลาดดูสักครั้ง แต่ด้วยระยะเวลานั้นได้เข้าสู่วาระการเลือกตั้งกรรมการของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยชุดใหม่ จึงยังไม่มีโอกาสได้เดินทางไปเสียที
ต่อมาหลังจากได้รับตำแหน่งใหม่อีกครั้ง จากความไว้วางใจของประธานสายงานอาเชียน ชายแดนและโลจิสติกส์ ท่านเวทิต โชควัฒนา ให้เข้ามารับตำแหน่งเป็นรองประธานสายงานฯ และประธานการส่งเสริมและพัฒนาการค้า-การลงทุนอาเชียน ผมได้มีโอกาสต้อนรับคณะส่งเสริมการค้า-การลงทุนของมาเลเซีย ที่เข้ามาปรึกษาหารือเรื่องของการค้า-การลงทุนที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ผมจึงได้ถือโอกาสเรียนเชิญท่านผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ (เดิมตำแหน่งนี้เราเรียกกันติดปากว่า “ท่านทูตพาณิชย์”) ท่านวรวรรณ วรรณวิล เข้ามาบรรยายให้คณะกรรมการของเรารับฟังด้วย เพื่อจะได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง เมื่อได้พบกับท่านทูตพาณิชย์ จึงได้ทราบว่า ท่านนอกจะประจำการอยู่ที่ประเทศมาเลเซียแล้ว ท่านยังควบตำแหน่งเป็นผอ.ของประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ด้วย ผมจึงเล่าให้ท่านฟังถึงความตั้งใจว่า อยากจะทำการส่งเสริมการค้า-การลงทุนในประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ด้วย
ต่อมาทางคณะกรรมการฯได้มีการติดต่อกับท่านผอ.วรวรรณเรื่อยมา จนกระทั่งท่านได้ชักชวนให้คณะกรรมการสายงานฯเดินทางไปสำรวจตลาดในมาเลเซียตะวันออก และประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ผมจึงได้สอบถามและดำเนินการจัดทำโครงการเดินทางไปสำรวจตลาดขึ้น โดยจะเดินทางกันในวันที่ 21-26 ก.ค.นี้ ซึ่งการเดินทางไปในครั้งนี้ นอกจากตัวผมเองและท่านรองประธานสภาอุตสาหกรรมสองท่าน มีท่านเวทิต โชควัฒนา และท่านชาติชาย พานิชชีวะแล้ว ยังจะมีท่านผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ท่านทูตพาณิชย์วรวรรณ วรรณวิล ที่ท่านเป็นเจ้าถิ่นอยู่แล้ว ผมยังได้เรียนเชิญท่านรศ.ดร.ปิติ ศรีแสงนาม ซึ่งท่านเป็นผู้อำนวยการบริหารมูลนิธิอาเชียน (Executive Director of ASEAN Foundation) ประจำอยู่ที่ประเทศอินโดนีเซีย ท่านมีความเชี่ยวชาญทางด้านประเทศทางแถบเอเชียใต้อยู่มาก รับรองว่าทุกท่านที่กล่าวมา จะมาให้ความรู้กับทางคณะที่จะเดินทางไปร่วมกับเราอย่างเต็มอิ่มเลยครับ
ทริปนี้เราจะได้เดินทางไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อเยี่ยมคารวะท่านเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพื่อรับทราบข้อมูลเบื้องต้นก่อน จากนั้นจึงได้เริ่มเดินทางต่อไปยังมาเลเชียตะวันออก ซึ่งผมต้องบอกว่า ผมเองก็เพียงแต่เคยทราบมาว่า ประเทศมาเลเซีย เขามีพื้นที่ที่อยู่บนเกาะบอร์เนียวที่อยู่ในการปกครองของรัฐซาราวักเท่านั้น แต่เป็นเพราะตัวผมเองไม่มีธุรกิจที่นั่นจึงยังไม่มีโอกาสได้ไปเที่ยวเลย ได้แต่ดูจากในรายการ Discovery ทางทีวี ที่เขาไปถ่ายทำชีวิตความเป็นอยู่ของชาวชนชาติพันธุ์พื้นเมือง เผ่า Iban และเผ่า Bidayuh ที่มีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมเฉพาะตัวที่น่าสนใจมาก ยังคิดว่าถ้าเราไม่ได้ไปในทริปนี้ คงไม่กล้าที่จะเดินทางไปเองอย่างแน่นอนครับ
ทางทีมจะพาคณะไปดูช่องทางทำการค้าที่เมืองกูชิงก่อนเป็นจุดที่สอง ซึ่งเมืองกูชิง มีที่ตั้งอยู่ใกล้พรมแดนอินโดนีเซีย (เขต Kalimantan) ซึ่งกำลังจะกลายเป็นที่ตั้งของ “เมืองหลวงใหม่ของอินโดนีเซีย (Nusantara)” ค้าขายและการขนส่งของที่นี่จะเติบโตอย่างรวดเร็วมาก เพราะกูชิงมีพรมแดนอยู่ติดกับเขตการิมันตันของอินโดนีเซีย
นอกจากนี้ถ้าเรายังมีเวลาเพียงพอ เราอาจมีโอกาสได้ไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติบาโก (Bako National Park) ที่มีพันธุ์พืชเฉพาะถิ่น และสัตว์หายากอย่าง ลิงจมูกยาว ซึ่งเหมาะกับนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบธรรมชาติและการเดินป่า หรือศูนย์อนุรักษ์อุรังอุตัง Semenggoh ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวที่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและสัตว์ป่า หรือไม่ก็พิพิธภัณฑ์แมวและวัฒนธรรมแมว เชื่อว่าเป็นเมืองเดียวในโลกที่มีพิพิธภัณฑ์แมว และการตลาดที่เชื่อมโยงกับแบรนด์แมว ซึ่งเป็นการดึงดูดกลุ่มที่ชื่นชอบแมวทั้งหลายด้วย แต่ต้องดูเวลาที่เหลือจากการสำรวจตลาดก่อนนะครับ เพราะแน่นอนวัตถุประสงค์ในการไปครั้งนี้ เพื่อไปหาโอกาสในการทำการค้า ไม่ได้เพื่อไปท่องเที่ยวแต่ถ้ามีเวลาพอท่องเที่ยวก็อยากเที่ยวนะครับ
จากนั้นเราจะเดินทางต่อไปยัง รัฐซาบาห์ (Sabah) ที่มีเมืองหลวงคือ Kota Kinabalu ซึ่งตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลจีนใต้ ที่มีแหล่งธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ทั้งทะเล ป่าเขา และวัฒนธรรมพื้นเมือง เช่น ชาวคาดาซัน - ดูซัน ซึ่งซาบาห์เป็นรัฐที่มี GDP จากภาคการท่องเที่ยวและเกษตรกรรมสูง ที่นี่เราคงได้ดูโอกาสในการทำการค้าด้านอาหารทะเล เพราะท่านทูตพาณิชย์บอกว่าอาหารทะเลที่นี่ดีมากๆ อีกทั้งที่นี่ยังเป็นแหล่งส่งออกอาหารทะเลไปยังประเทศญี่ปุ่น เกาหลีใต้และจีน อีกด้วย นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นสวรรค์ของนักดำน้ำ เพราะใต้ทะเลของที่นี่ทราบมาว่าสวยมากกก ถ้ามีโอกาสได้ลงทะเลนะครับ ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเราจะได้ลงทะเลหรือเปล่า? หรือแค่เดินผ่านๆ ฮา….
จุดสุดท้ายคือ กรุงบันดาร์เสรีเบกาวัน (Bandar Seri Begawan) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ประเทศที่ร่ำรวยจากทรัพยากรน้ำมัน แต่ปัจจุบันนี้รัฐบาลบรูไน ดารุสซาลาม เริ่มมีแผนในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ ด้วยนโยบายลดการพึ่งพาน้ำมัน (Brunei Vision 2035) โดยจะมุ่งเน้นธุรกิจ halal digital economy และธุรกิจทางด้านสุขภาพ
ซึ่งประเทศไทยเราก็ชำนาญทางด้านนี้อยู่ด้วย โดยเฉพาะคลีนิกทางด้าน Wellness&spa หรือธุรกิจเสริมความงาม ที่มีอยู่มากมายในกรุงเทพมหานคร อีกทั้งโรงพยาบาลเอกชนหรือการบริการทางการแพทย์แบบ Premium ที่ทางประเทศบรูไน ดารุสซาลาม มีความต้องการสูงมาก ในการส่งผู้ป่วยไปรักษายังต่างประเทศ ซึ่งนอกจากนี้ยังมีโอกาสเปิดศูนย์ตรวจสุขภาพ หรือศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูได้อีกด้วยครับ ผมคิดว่านี่เป็นหนึ่งโอกาสที่จะก้าวไปสู่ตลาดใหม่ๆ ในประเทศที่ร่ำรวยนะครับ
นอกจากนี้ธุรกิจอาหารและสินค้า halal ที่นี่ยังเป็นตลาด Niche Market ที่มีกำลังซื้อสูง เหมาะกับ SMEs ที่ต้องการทดสอบตลาดมุสลิมอย่างดียิ่งครับ งานนี้ยังจะมีนักธุรกิจของท้องถิ่น ที่ท่านทูตพาณิชย์วรวรรณมีความคุ้นเคย มาร่วมสนทนาเพื่อหาช่องทางร่วมกับทางเรา ผมเชื่อว่าน่าจะมีความเป็นไปได้สูงมากทีเดียวครับ
นอกจากที่เราจะได้หาช่องทางในการทำธุรกิจแล้ว เรายังสามารถเยี่ยมชมมัสยิด Omar Ali Saifuddien และ Jame'Asr Hassanil Bolkiah ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กระดับโลกของประเทศบรูไนดารุสซาลาม อีกด้วยครับ ท่านที่สนใจไปกับคณะเรา ตอนนี้ยังมีที่ว่างสามารถรับได้อีกไม่เกิน 15 ท่านเท่านั้น สนใจติอต่อเพื่อขอรายละเอียดได้ที่ คุณโบ๊ท ณัฐดนัย โทร 02-345-1094 หรือที่ E-Mail nutdanaik@fti.or.th ได้ตั้งแต่วันนี้ครับ