สรุปข่าวต่างประเทศ ประจำวันอังคารที่ 19 สิงหาคม 2568
สรุปข่าวต่างประเทศ ประจำวันอังคารที่ 19 สิงหาคม 2568
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -19 ส.ค. 68 8:46: น.
*** สัญญาน้ำมันดิบเวสต์ เท็กซัส (WTI) งวดส่งมอบเดือนก.ย. ปิดที่ 63.42 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 62 เซนต์ หรือ 0.99%
สัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนต.ค. ปิดที่ 66.60 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 75 เซนต์ หรือ 1.14%
ราคาน้ำมันโลกปรับตัวขึ้นราว 1% ในวันจันทร์ (18 ส.ค.) หลังการพบหารือระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กับประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครน ที่ทำเนียบขาว ซึ่งมีขึ้นถัดจากการประชุมระหว่างสหรัฐฯรัสเซียเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาซึ่งยังไร้ข้อสรุป โดยการเจรจาที่ทำเนียบขาว บรรดาผู้นำที่เข้าร่วมประชุมต่างมุ่งหารือแนวทางยุติสงครามรัสเซียยูเครน โดยทรัมป์หวังว่าการหารือครั้งนี้ จะนำไปสู่การประชุม 3 ฝ่าย ร่วมกับประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย พร้อมย้ำว่า เชื่อว่าปูตินต้องการยุติสงคราม
*** ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เปิดเผยว่าได้โทรศัพท์ถึงวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย เพื่อกระตุ้นให้เริ่มเตรียมการประชุมกับโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน หลังจากที่เขาเพิ่งเสร็จสิ้นการหารือกับเซเลนสกีและผู้นำยุโรปที่ทำเนียบขาว โดยข้อเสนอของทรัมป์ คือการจัดประชุมแบบตัวต่อตัวระหว่างผู้นำยูเครนและรัสเซีย ก่อนที่จะต่อยอดเป็นการหารือไตรภาคี โดยมีสหรัฐฯ เข้าร่วมด้วย ซึ่งถือเป็นความเคลื่อนไหวล่าสุดในการผลักดันให้เกิดการยุติสงครามที่ยืดเยื้อมากว่า 3 ปี
อย่างไรก็ตาม ยังไม่แน่ชัดว่าปูตินจะตอบรับการเจรจาโดยตรงหรือไม่ โดยที่ปรึกษาประธานาธิบดีรัสเซีย ระบุเพียงว่าทรัมป์และปูตินได้หารือถึงแนวคิดนี้แล้ว ทำให้ยังไม่ชัดเจนว่าน้ำเสียงเชิงบวกจากสหรัฐฯสะท้อนถึง ความก้าวหน้าที่แท้จริงในเส้นทางสู่สันติภาพ หรือเป็นเพียงการแสดงความเป็นเอกภาพเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างยูเครนและพันธมิตรตะวันตก
*** กลุ่มฮามาสประกาศยอมรับข้อเสนอที่กาตาร์และอียิปต์เป็นผู้ผลักดัน เพื่อหยุดยิงกับอิสราเอลในพื้นที่ฉนวนกาซา ช่วยสร้างความหวังว่าการเจรจาที่ชะงักงันมานานอาจใกล้ได้ข้อยุติ โดยตามข้อเสนอจะมีการปล่อยตัวเชลยชาวอิสราเอลประมาณครึ่งหนึ่งที่ฮามาสยังคงควบคุมตัวอยู่จากเหตุโจมตีเมื่อเดือน ต.ค. 2023 ซึ่งเป็นชนวนให้เกิดสงครามแลกกับการที่อิสราเอลปล่อยนักโทษชาวปาเลสไตน์ และถอนกำลังทหารบางส่วนออกจากกาซา
*** รัฐบาลอินเดีย ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี กำลังพิจารณาลดอัตราภาษีทางอ้อม (GST) สำหรับรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ เพื่อกระตุ้นการบริโภคและอุปสงค์ในประเทศ โดยตามร่างข้อเสนอระบุว่า รถยนต์ขนาดเล็กจะถูกเก็บภาษีที่ระดับ 18% (ลดลงจากปัจจุบันที่ภาระภาษีรวมสูงสุดถึง 31%) ขณะที่ รถยนต์พรีเมียม อาจลดภาษีลงเหลือราว 40% จากปัจจุบันที่สูงสุดถึง 50% ในส่วนของมอเตอร์ไซค์ความจุไม่เกิน 350cc จะอยู่ในกรอบภาษี 18% เช่นกัน แต่บิ๊กไบก์หรือรุ่นพรีเมียมอาจยังคงถูกเก็บภาษีกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยในอัตราที่สูงกว่า ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะยังคงเก็บภาษีในอัตราต่ำเพียง 5%
การปรับลดภาษีครั้งนี้ นับเป็นการลดภาษีการบริโภคครั้งใหญ่ครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปี ซึ่งถือเป็นแรงหนุนสำคัญต่อตลาดยานยนต์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก
*** ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและอินเดีย มีแนวโน้มผ่อนคลายลง หลังจากที่ทั้ง 2 ประเทศพยายามผลักดันให้กลับสู่ภาวะปกติ ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยรัฐมนตรีต่างประเทศอินเดียระบุว่า อินเดียและจีนต่างต้องการสร้างความสัมพันธ์ที่ดียิ่งขึ้น พร้อมระบุว่า หลังผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากในความสัมพันธ์ ทั้ง 2 ประเทศต้องเดินหน้าต่อไป ความแตกต่างไม่ควรกลายเป็นข้อพิพาท และการแข่งขันไม่ควรนำไปสู่ความขัดแย้ง
ด้านหวัง อี้กล่าวว่า เนื่องจากการกลั่นแกล้งฝ่ายเดียวยังคงเกิดขึ้น จีนและอินเดียจึงควรมีบทบาทในการส่งเสริมโลกหลายขั้วอำนาจ ทั้ง 2 ฝ่ายควรมองกันและกันเป็นพันธมิตรและโอกาส ไม่ใช่คู่แข่งหรือภัยคุกคาม
*** หลี่ เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน เปิดเผยในการประชุมคณะมุขมนตรี (State Council) ว่า จีนจะยังคงเร่งกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศและคุ้มครองความเป็นอยู่ของประชาชน เพื่อขยายแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจในเชิงบวก พร้อมย้ำว่ารัฐบาลจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจตลอดทั้งปีที่วางไว้ราว 5% โดยหลี่ระบุว่าจีนจะรักษาความสงบและตอบสนองต่อความไม่แน่นอนต่าง ๆ ในเชิงรุก ท่ามกลางสภาพแวดล้อมภายนอกที่รุนแรงและซับซ้อน
ทั้งนี้ ข้อตกลงชั่วคราวด้านการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่บรรลุเมื่อกลางเดือนพ.ค. และเพิ่งขยายเวลาออกไปอีก 90 วันเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ช่วยป้องกันไม่ให้สหรัฐฯ นำอัตราภาษีศุลกากรต่อสินค้าจีนกลับไปสู่ระดับที่สูงจนเกินรับได้
อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตจีนยังคงเผชิญแรงกดดันจากกำไรที่หดตัว เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ซบเซาและแรงกดดันเงินเฟ้อฝั่งผู้ผลิตที่ยังคงกดดันเศรษฐกิจในประเทศ
*** นักลงทุนจับตาผลประกอบการไตรมาสล่าสุดของ Xiaomi Corp. อย่างใกล้ชิด หลังจากหุ้นพุ่งแรงตลอดปีที่ผ่านมา จนมูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นกว่า 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากความคาดหวังต่อการรุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้า (EV) อย่างไรก็ตาม ความกังวลกำลังเพิ่มขึ้นต่อธุรกิจสมาร์ทโฟนหลักของ Xiaomi ซึ่งคาดว่าจะรายงานการเติบโตชะลอตัวลงอย่างมาก และมีกำไรขั้นต้นที่หดแคบลง ขณะเดียวกัน ธุรกิจ EV ของบริษัทก็กำลังเผชิญปัญหาขีดความสามารถในการผลิตไม่เพียงพอต่อการตอบสนองความต้องการที่แข็งแกร่ง
*** Rhodium Group รายงานว่า ห่วงโซ่อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของจีนได้ลงทุนในโรงงานต่างประเทศมากกว่าภายในประเทศเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่มีการบันทึกข้อมูลย้อนหลังถึงปี 2014 โดยกว่า 74% ของเงินลงทุนในต่างประเทศมุ่งไปที่โรงงานผลิตแบตเตอรี่
ขณะเดียวกันการลงทุนในโรงงานประกอบรถยนต์ต่างประเทศก็กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดภายในประเทศ และอุปสรรคจากภาษีนำเข้าที่สูงขึ้น การเร่งลงทุนตั้งฐานการผลิตในต่างประเทศจึงถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์สำคัญในการขยายตลาด พร้อมทั้งสร้างแรงสนับสนุนจากรัฐบาลเจ้าบ้านที่เป็นตลาดเป้าหมาย
*** เทสลา (Tesla) ประกาศผ่านโซเชียลมีเดีย Weibo ของจีนว่า Model Y L กำลังจะเปิดตัวเร็ว ๆ นี้ หลังจากก่อนหน้านี้ได้ยื่นจดทะเบียนแผนการจำหน่ายในจีนแล้ว โดยรุ่นใหม่นี้เป็นเวอร์ชัน 6 ที่นั่ง ของ Model Y ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายดีที่สุดของบริษัท และมาพร้อมช่วงฐานล้อที่ยาวขึ้น เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องโดยสาร อีกทั้งเทสลายังได้เผยแพร่วิดีโอตัวอย่างของรุ่นดังกล่าวบน Weibo อีกด้วย โดยการเปิดตัว Model Y L ถือเป็นส่วนหนึ่งของการปรับโฉมไลน์อัปของเทสลา ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงจากค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจีน โดยล่าสุด Xiaomi เพิ่งเปิดตัวรุ่น YU7 ออกสู่ตลาด
*** เครือข่ายอินเทอร์เน็ตของดาวเทียม Starlink ของบริษัท SpaceX ประสบปัญหาขัดข้องชั่วคราว โดยมีรายงานจากผู้ใช้งานนับพันบนเว็บไซต์ Downdetector ซึ่งนับเป็นเหตุการณ์ล่มครั้งที่ 2 ของ Starlink ในช่วงเวลาเพียง 2 สัปดาห์ โดยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 ก.ค. ซึ่งเครือข่ายล่มนานหลายชั่วโมง ด้านรองประธานฝ่ายวิศวกรรม Starlink ระบุว่าเกิดจากความล้มเหลวของบริการซอฟต์แวร์ภายในที่เป็นหัวใจหลักของเครือข่าย
*** ฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn) ยักษ์ใหญ่ด้านการผลิตเทคโนโลยีจากไต้หวัน ซึ่งเติบโตจากการประกอบ iPhone นับล้านเครื่องให้ Apple มานานหลายปี เผยว่าธุรกิจหลักของบริษัทไม่ได้พึ่งพา Apple อีกต่อไป หลังอานิสงส์จากกระแส AI-boom ดันรายได้จากการผลิตเซิร์ฟเวอร์ AI และโซลูชันด้านคลาวด์-เครือข่าย (รวมถึงการผลิตให้ลูกค้ารายใหญ่เช่น Nvidia) แซงหน้ารายได้จากการผลิตสมาร์ทโฟนและสินค้าอุปโภคอิเล็กทรอนิกส์ เช่น iPhone เป็นครั้งแรกในไตรมาส 2
การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้สะท้อนทิศทางที่ฟ็อกซ์คอนน์เริ่มวางรากฐานมาหลายปี และยังเป็นกระแสที่กำลังขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีไต้หวันโดยรวม
*** ซอฟต์แบงก์ (SoftBank Group) บรรลุข้อตกลงเข้าลงทุน 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในหุ้นของอินเทล (Intel) เพื่อเสริมสร้างความร่วมมือด้านเทคโนโลยีขั้นสูงและนวัตกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ โดย SoftBank จะเข้าซื้อหุ้นสามัญของอินเทลในราคาหุ้นละ 23 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่หุ้นอินเทลปรับตัวขึ้นในการซื้อขายนอกเวลาหลังปิดตลาดที่ระดับ 23.66 ดอลลาร์สหรัฐ
*** Arm Holdings ว่าจ้าง รามี ซินโน (Rami Sinno) ผู้อำนวยการด้านชิปปัญญาประดิษฐ์ของ Amazon.com เพื่อเข้ามาเสริมทัพในแผนการพัฒนาชิปครบวงจรของบริษัท โดยซินโนมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา Trainium และ Inferentia ชิป AI ที่ Amazon ออกแบบขึ้นเองเพื่อรองรับการสร้างและการประมวลผลแอปพลิเคชัน AI ขนาดใหญ่ ซึ่งที่ผ่านมา Arm ไม่ได้ผลิตชิปด้วยตนเอง แต่ทำหน้าที่ออกแบบสถาปัตยกรรมและชุดคำสั่งประมวลผลที่ขายให้ลูกค้า โดยผู้ผลิตชิปรายใหญ่อย่าง Apple และ Nvidia ต่างนำเทคโนโลยีของ Arm ไปใช้ในผลิตภัณฑ์ของตน
*** บริษัท Novo Nordisk A/S ประกาศลดราคายาฉีด Ozempic สำหรับผู้ป่วยที่ชำระเงินสดในสหรัฐฯ หลังยาตัวนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของราคายาที่สูงเกินเอื้อม โดยผู้ป่วยสามารถซื้อ Ozempic ได้ในราคา 499 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ซึ่งต่ำกว่าราคาขายปลีกในสหรัฐฯ ราวครึ่งหนึ่ง ผ่านระบบร้านขายยาของบริษัทชื่อ NovoCare ความเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กดดันบริษัทยาให้ปรับลดราคาลง โดยได้ส่งจดหมายถึงผู้ผลิตรายใหญ่รวมถึง Novo เพื่อเรียกร้องให้ดำเนินการ ก่อนหน้านี้รัฐบาลของโจ ไบเดนก็เคยพยายามกดดันให้ Novo ลดราคา Ozempic ซึ่งเป็นยาขายดีอันดับหนึ่งของบริษัท แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
*** Vanguard ยักษ์ใหญ่ด้านการลงทุนเชิง Passive Investing และผู้บุกเบิกกองทุนดัชนีต้นทุนต่ำ กำลังเตรียมเปิดตัวกองทุน Actively Managed ETFs ชุดแรกในสหรัฐฯ ภายในปีนี้ โดยกองทุนดังกล่าวจะเป็นการรวมกองทุน ETF ที่มีอยู่แล้ว 3 กองทุนเข้าด้วยกัน โดยมี Wellington Management เป็นผู้บริหารจัดการพอร์ต ซึ่งครอบคลุมกลยุทธ์ การลงทุนหุ้นเติบโต (Growth Stock), หุ้นคุณค่า (Value Stock) และหุ้นเติบโตพร้อมจ่ายเงินปันผล (Dividend Growth)
ที่ผ่านมา Vanguard เคยออกกองทุน ETF พันธบัตรเชิงรุกมาแล้วบางส่วน แต่ครั้งนี้นับเป็นก้าวแรกของบริษัทในการรุกตลาดกองทุนหุ้นเชิงรุกในรูปแบบ ETF
*** การแข่งขัน World Humanoid Robot Games ครั้งแรกของโลกปิดฉากลงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ณ กรุงปักกิ่ง โดยมีทีมเข้าร่วมกว่า 280 ทีม จาก 16 ประเทศ รวมถึงสหรัฐฯ โดยหุ่นยนต์ที่ใช้ส่วนใหญ่ผลิตโดยบริษัทจีน เช่น Unitree และ Booster ซึ่งตลอด 3 วันของงาน นักกีฬาหุ่นยนต์ลงแข่งในหลายประเภท ตั้งแต่เต้น, ศิลปะการต่อสู้, กรีฑา (วิ่ง 400 เมตร, 1,500 เมตร และกระโดดไกล) ไปจนถึงการแข่งขันฟุตบอล
โปรแกรมเมอร์ของทีมหุ่นยนต์ Hephaestus กล่าวถึงนักฟุตบอลหุ่นยนต์ว่า หุ่นยนต์มีข้อต่อและความแข็งแรงของแกนกลางที่เหนือกว่า พร้อมคาดการณ์ว่าในปี 2050 หุ่นยนต์อาจแทนที่คริสเตียโน โรนัลโด้ได้
ผลการแข่งขัน บริษัทผู้ผลิตหุ่นยนต์จีน Unitree (ที่ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งของ Optimus จาก Tesla) กวาดเหรียญรางวัลไปหลายรายการ ขณะเดียวกันบริษัทจีนรายอื่นอย่าง X-Humanoid และ UBTECH ก็โชว์ศักยภาพได้อย่างโดดเด่นเช่นกัน
*** แซม อัลต์แมน (Sam Altman) ซีอีโอ OpenAI มองว่าตลาดปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเข้าสู่ภาวะ ฟองสบู่ โดยกล่าวว่า เมื่อฟองสบู่เกิดขึ้น คนเก่ง ๆ มักจะตื่นเต้นเกินไปกับความจริงบางส่วนที่อยู่เบื้องหลัง ตอนนี้เรากำลังอยู่ในช่วงที่นักลงทุนโดยรวมตื่นเต้นเกินไปกับ AI หรือไม่? ผมคิดว่าใช่ แต่ AI ก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เกิดขึ้นในรอบเวลายาวนานเช่นกัน
นอกจากนี้ เขายังเปรียบเทียบภาวะปัจจุบันกับยุคฟองสบู่ดอทคอม ซึ่งนักลงทุนแห่เก็งกำไรในบริษัทอินเทอร์เน็ต ก่อนที่ดัชนีแนสแดค จะร่วงเกือบ 80% ระหว่างมี.ค. 2000 - ต.ค. 2002 หลังจากบริษัทจำนวนมากไม่สามารถสร้างรายได้หรือทำกำไรได้จริง
*** แซม อัลต์แมน (Sam Altman) ซีอีโอ OpenAI แสดงความกังวลว่าสหรัฐฯ อาจกำลังประเมินความซับซ้อนและความก้าวหน้าของจีนในด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต่ำเกินไป พร้อมระบุว่าการใช้มาตรการควบคุมการส่งออกเพียงอย่างเดียวอาจไม่ใช่ทางออกที่เชื่อถือได้ ผมกังวลเกี่ยวกับจีน พร้อมชี้ว่าการแข่งขันด้าน AI ระหว่างสหรัฐฯ และจีนเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและมีเดิมพันสูงกว่าการแข่งขันว่าใครเป็นผู้นำ AI มีหลายมิติ ทั้ง ศักยภาพด้านการประมวลผล ซึ่งจีนอาจสร้างได้เร็วกว่า, การวิจัย, การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และอื่น ๆ มันไม่ใช่แค่เรื่องง่าย ๆ ว่า ใครเป็นผู้นำ ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
รายงาน โดย สิริพงศ์ สิริชุมศรี เรียบเรียง โดย Supak Hopuengju
อีเมล์. supak@efinancethai.com
ดูข่าวต้นฉบับ