SharpLink ทุ่มซื้อ Ethereum มูลค่า 667 ล้านดอลลาร์ หนุนสงครามสะสม ETH ของสถาบัน
แพลตฟอร์ม SharpLink Gaming สร้างความฮือฮาในตลาดคริปโต หลังประกาศเข้าซื้อ Ethereum (ETH) เพิ่มอีก 143,593 เหรียญ ท่ามกลางราคาที่พุ่งขึ้นแตะใกล้จุดสูงสุดตลอดกาล (All-Time High) โดยยื่นรายงานต่อ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐ (SEC) ว่าซื้อในราคาเฉลี่ย 4,648 ดอลลาร์ต่อเหรียญ รวมเป็นมูลค่ากว่า 667.4 ล้านดอลลาร์
ดีลครั้งนี้ทำให้ SharpLink ถือครอง ETH รวมแล้ว 740,760 เหรียญ หรือคิดเป็นมูลค่า 3.2 พันล้านดอลลาร์ ตามราคาตลาดปัจจุบัน
SharpLink สร้างรายได้จาก Staking
นอกจากการซื้อเพิ่ม SharpLink ยังเปิดเผยว่าได้รายได้จาก Staking ETH แล้วกว่า 1,388 เหรียญ ผ่านการทำหน้าที่เป็น Validator และใช้บริการ Liquid Staking บนเครือข่าย Ethereum โดยบริษัทระบุว่า กิจกรรม staking อาจถูกกำกับดูแลจากภาครัฐในอนาคต
อย่างไรก็ตาม ข่าวการเข้าซื้อไม่ได้ช่วยพยุงราคาหุ้นของบริษัทมากนัก เพราะหุ้น SharpLink ร่วงกว่า 12% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา และปิดที่ 20.10 ดอลลาร์ ลดลงกว่า 13.5% ในรอบ 5 วันทำการ
สถาบันใหญ่แห่สะสม ETH
ความเคลื่อนไหวของ SharpLink เกิดขึ้นในช่วงที่สถาบันกำลัง เร่งกวาดซื้อ Ethereum อย่างหนัก โดยกองทุน Spot Ethereum ETF มียอดเงินไหลเข้าสุทธิ 3.7 พันล้านดอลลาร์ ระหว่างวันที่ 5–15 สิงหาคมที่ผ่านมา
ด้านคู่แข่งสำคัญอย่าง BitMine ก็เพิ่งซื้อเพิ่มกว่า 373,000 ETH ทำให้ถือครองรวม 1.52 ล้านเหรียญ คิดเป็นมูลค่า 6.6 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ BitMine ก้าวขึ้นเป็น คลัง Ethereum ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจาก Strategy ของ Michael Saylor ที่ยังคงนำโด่งด้วยการถือครอง 629,376 BTC มูลค่ากว่า 72.7 พันล้านดอลลาร์
บทสรุป
ดีลครั้งนี้ตอกย้ำว่า Ethereum กำลังถูกสถาบันยักษ์ใหญ่สะสมอย่างจริงจัง ทั้ง SharpLink และ BitMine ต่างต้องการชิงพื้นที่ในฐานะ “Ethereum Treasury” ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ขณะที่กระแสเงินจากกองทุน ETF กำลังหนุนให้ ETH กลับมาเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ร้อนแรงที่สุดในปี 2025
อ้างอิง : cointelegraph.com
ที่มา https://www.bitcoinaddict.com/news/sharplink-buys-ether-667m
ประธาน ก.ล.ต. สหรัฐฯ ชี้!! มีโทเคนเพียง “ส่วนน้อย” เท่านั้นที่เข้าข่ายเป็นหลักทรัพย์
Paul Atkins ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ (SEC) ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในแนวทางการกำกับดูแลคริปโต โดยระบุว่า มีเพียง “ส่วนน้อยมาก” ของโทเคนในตลาดที่ควรถูกพิจารณาเป็นหลักทรัพย์ ซึ่งต่างจากแนวคิดของอดีตประธาน Gary Gensler ที่เคยย้ำว่า “ส่วนใหญ่” ของคริปโตเข้าข่ายเป็นหลักทรัพย์ตามเกณฑ์ Howey Test
Atkins กล่าวในงาน Wyoming Blockchain Symposium ที่ Jackson Hole ว่า SEC ภายใต้การนำของเขาจะไม่เหมารวมว่าโทเคนทุกตัวเป็นหลักทรัพย์ แต่จะพิจารณาตาม “แพ็กเกจรอบตัว” ว่ามีการนำเสนอและขายอย่างไร ซึ่งสะท้อนการมุ่งเน้นไปที่ บริบทของการออกและการขาย มากกว่าตัวโทเคนเอง
จากมุมมองของ ก.ล.ต.สหรัฐฯ เราจะเดินหน้าต่อไปและยึดมั่นในแนวคิดที่ว่าโทเคนนั้นไม่จำเป็นต้องเป็นหลักทรัพย์เสมอไป และอาจจะไม่ใช่เป็นด้วยซ้ำ ในความคิดของผม โทเคนที่เป็นหลักทรัพย์นั้นมีน้อยมาก แต่ขึ้นอยู่กับว่าแพ็คเกจที่เกี่ยวข้องคืออะไร และมีการนำไปขายอย่างไร
Project Crypto และทิศทางใหม่ของ SEC
การเปลี่ยนท่าทีนี้เชื่อมโยงกับโครงการ “Project Crypto” ของ SEC ที่มีเป้าหมายวางกฎเกณฑ์ชัดเจนเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อสร้างกรอบการกำกับดูแลที่เหมาะสม ขณะเดียวกัน สภาคองเกรส ก็กำลังเดินหน้าออกกฎหมายตลาดคริปโต โดยผ่านร่าง Digital Asset Market Clarity (CLARITY) Act ในสภาผู้แทนฯ แล้ว และวุฒิสภามีแผนจะพิจารณาต่อหลังเปิดสมัยประชุมในเดือนกันยายน
แตกต่างจากยุค Gensler
การประกาศล่าสุดของ Atkins ถือเป็นการพลิกมุมมองครั้งใหญ่ เมื่อเทียบกับยุคของ Gary Gensler ที่เคยเชื่อว่าคริปโตส่วนใหญ่เข้าข่ายหลักทรัพย์ โดย Atkins ย้ำว่า “โทเคนไม่จำเป็นต้องเป็นหลักทรัพย์” แต่สิ่งสำคัญคือวิธีการขายและการใช้งาน
ผลต่ออนาคตตลาดคริปโต
นักวิเคราะห์มองว่าท่าทีใหม่นี้อาจช่วยสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมคริปโตในสหรัฐฯ เพราะลดความไม่แน่นอนทางกฎหมาย และเปิดทางให้ นักลงทุนสถาบันและบริษัทใหญ่ เข้ามาในตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะหากกฎหมายตลาดคริปโตฉบับใหม่จากสภาคองเกรสผ่านในปีนี้
อ้างอิง : cointelegraph.com
ที่มา https://www.bitcoinaddict.com/news/sec-chair-atkins-crypto-tokens-not-securities
สัญญาณบวก 4 ปัจจัย อาจทำให้ Solana กลับมาทะลุ $200
ราคาของSolana (SOL) เพิ่งปรับตัวลงแรงกว่า 15% หลังจากขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือนที่ $209.80 ทำให้นักลงทุนบางส่วนกังวลว่าอาจเกิดรูปแบบ Double Top ซึ่งเป็นสัญญาณกลับตัวขาลง แต่จากข้อมูลเชิงลึกล่าสุดกลับสะท้อนภาพที่ต่างออกไป เพราะมีหลายปัจจัยสนับสนุนว่า Solana ยังแข็งแกร่งและมีโอกาสกลับไปแตะ $200 ได้อีกครั้ง
ความแข็งแกร่งของ Solana ในตลาด DeFi
Solana ยังคงครองตำแหน่ง เบอร์สองในตลาด DEX โดยมียอดการซื้อขาย 30 วันสูงถึง $111.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าการรวมกันของ Ethereum Layer-2 ทั้งหมดที่ทำได้ $93.1 พันล้าน ในขณะเดียวกันมูลค่ารวมที่ถูกล็อก (TVL) ของ Solana ก็แตะ $12.1 พันล้าน เพิ่มขึ้นถึง 20% ในรอบ 2 เดือน นำหน้า BNB Chain อย่างชัดเจน
โปรเจกต์ DApp ชั้นนำบน Solana เช่น Kamino, Jito, Jupiter, Sanctum, Raydium และ Marinade ต่างก็มีมูลค่า TVL เกินกว่า $2 พันล้านดอลลาร์ สะท้อนถึงความแข็งแรงของระบบนิเวศและความต้องการใช้งานจริงที่ยังคงเพิ่มขึ้น
รายได้ค่าธรรมเนียมและความได้เปรียบของเครือข่าย
อีกหนึ่งปัจจัยที่ตอกย้ำความแข็งแกร่งคือค่าธรรมเนียมเครือข่าย (Network Fees) โดย Solana ทำรายได้ $35.6 ล้านในช่วง 30 วันที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 22% ขณะที่ Ethereum แม้จะยังนำอยู่ที่ $41.4 ล้าน แต่กลับลดลง 7% ในช่วงเดียวกัน จุดแข็งของ Solana คือค่าธรรมเนียมต่ำและการใช้งานที่ราบรื่น ไม่ต้องพึ่งพา Layer-2 หรือสะพานเชื่อม (bridge) แบบซับซ้อน
นักลงทุนสถาบันหนุน SOL
สัญญาณที่ชัดเจนอีกด้านคือการไหลเข้าของนักลงทุนสถาบัน โดยปริมาณสัญญาเปิด (Open Interest) ของ SOL Futures พุ่งขึ้นแตะ $10.7 พันล้าน เพิ่มจาก $6.9 พันล้านเมื่อสองเดือนก่อน แซงหน้าแม้กระทั่ง XRP Futures
นอกจากนี้ยังมีการลงทุนผ่าน ETF/ETP ของ Solana มากกว่า $2.8 พันล้าน และด้วยอัตราผลตอบแทนการ Stake ที่สูงถึง 7.3% จึงทำให้ Solana ถูกมองว่าน่าสนใจยิ่งขึ้น หาก สหรัฐฯ อนุมัติ Spot ETF ของ Solana ซึ่ง Bloomberg คาดการณ์ว่ามีโอกาสมากกว่า 90% ที่จะเกิดขึ้นภายในสิ้นปี
แนวโน้มราคาข้างหน้า
แม้ราคาจะย่อตัวลงมาจากจุดสูงสุด แต่ปัจจัยบวก 4 ด้าน ได้แก่ ความเป็นผู้นำด้าน DEX, การเติบโตของ TVL, รายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น และการสนับสนุนจากสถาบันการเงิน ต่างสะท้อนว่า SOL ยังมีศักยภาพสูงในการดีดกลับไปที่ $200 และนักลงทุนที่เทขายไปก่อนอาจประเมินตลาดเร็วเกินไป
อ้างอิง : cointelegraph.com
ภาพ outlookbusiness.com