“ร่างระบบบัญชีเศรษฐกิจสวล.”เครื่องมือใหม่จัดการป่าไม้
เมื่อเร็วๆนี้สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ร่วมกับศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อ “ร่างระบบบัญชีเศรษฐกิจสิ่งแวดล้อม บัญชีระบบนิเวศ และร่างคู่มือการจัดทำระบบบัญชีเศรษฐกิจสิ่งแวดล้อม บัญชีระบบนิเวศ” ภายใต้โครงการพัฒนาระบบบัญชีเศรษฐกิจสิ่งแวดล้อม (System of Environmental-Economic Accounting: SEEA) เพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกันถึงประโยชน์ของระบบบัญชีดังกล่าว และสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในด้านการอนุรักษ์และการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของประเทศอย่างสมดุล
ดร.วรินธร สงคศิริ รองผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ทรัพยากรป่าไม้และพื้นที่สีเขียวซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงทางอาหาร การดูดซับคาร์บอน และการสนับสนุนอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ในปัจจุบันทรัพยากรเหล่านี้กำลังเผชิญแรงกดดันจากการขยายตัวของเมือง การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน และภาวะโลกร้อน จึงจำเป็นต้องพัฒนาฐานข้อมูลบูรณาการที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม เพื่อใช้ติดตาม ประเมิน และกำหนดนโยบายบนหลักฐานเชิงประจักษ์
นายทรงวุฒิ ศรีสว่าง ผู้อำนวยการกองติดตามและประเมินผล สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กล่าวว่า ช่วงที่ผ่านมา การพัฒนาประเทศได้ใช้ฐานทรัพยากรมากเกินศักยภาพของระบบนิเวศ ส่งผลให้ทรัพยากรเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว ขณะที่การแก้ไขปัญหาของภาครัฐยังขาดเครื่องมือและข้อมูลที่ครบถ้วน การจัดทำนโยบายที่มีประสิทธิภาพจึงจำเป็นต้องตั้งอยู่บนการตัดสินใจที่มีข้อมูลเชิงบูรณาการและน่าเชื่อถือ โดยระบบบัญชีเศรษฐกิจสิ่งแวดล้อม (SEEA) ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยตอบโจทย์นี้
นายทรงวุฒิ กล่าวต่อว่า “SEEA เป็นมาตรฐานสากลในการเชื่อมโยงข้อมูลเศรษฐกิจกับต้นทุนด้านทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม คล้ายระบบบัญชีประชาชาติ (SNA) แต่ครอบคลุมมูลค่าทรัพยากรธรรมชาติ ผลกระทบจากกิจกรรมเศรษฐกิจ และค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม หลายประเทศได้นำ SEEA มาใช้ประเมินและวางแผนอนุรักษ์ให้เหมาะสมกับศักยภาพของระบบนิเวศ ขณะที่ประเทศไทยเริ่มจัดทำบัญชีระบบนิเวศเพื่อประเมินศักยภาพและคุณค่าการบริการทางนิเวศ (Ecosystem Services) ในพื้นที่สำคัญ เพื่อสนับสนุนการตัดสินใจเชิงนโยบายและการจัดการอย่างสมดุล ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนภายในปี 2570”
ดร.ยุวนันท์ สันติทวีฤกษ์ นักวิจัยนโยบายอาวุโส ไบโอเทค และหัวหน้าโครงการฯ เปิดเผยว่า การดำเนินงานภายใต้โครงการนี้ ได้จัดทำบัญชี 4 เรื่อง ได้แก่ บัญชีพื้นที่ป่าไม้ บัญชีทรัพยากรไม้ บัญชีระบบนิเวศป่าไม้ (พื้นที่นำร่อง: อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่) และบัญชีระบบนิเวศพื้นที่สีเขียว (พื้นที่นำร่อง: คุ้งบางกะเจ้า) ซึ่งบัญชีเหล่านี้ช่วยติดตามและประเมินการเปลี่ยนแปลงของทรัพยากร ทั้งส่วนที่คงอยู่และส่วนที่ถูกใช้ประโยชน์ ตัวอย่างเช่น ข้อมูลชี้ว่า แนวโน้มพื้นที่ป่าไม้ของไทยลดลงต่อเนื่อง แต่หากมีนโยบายสนับสนุนการปลูกและใช้ไม้เศรษฐกิจควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างจริงจัง เช่น สัก ยางพารา ยูคาลิปตัส จะช่วยเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ให้บรรลุเป้าหมาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ประเทศ ลดการนำเข้าไม้และเยื่อจากต่างประเทศ และสร้างมูลค่าในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกว่า 450,000 ล้านบาทต่อปี
ในเชิงนิเวศ พบว่าระบบนิเวศป่าไม้สามารถกักเก็บคาร์บอน 58 ล้านตัน CO₂e (Carbon Dioxide Equivalent หรือคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) เป็นแหล่งต้นน้ำสำคัญ และเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์มีกระดูกสันหลัง 69 ชนิดที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ขณะที่ระบบนิเวศคุ้งบางกะเจ้า พื้นที่สีเขียวกว่า 6,000 ไร่ สร้างรายได้แก่ชุมชนไม่น้อยกว่า 70 ล้านบาทต่อปี กักเก็บคาร์บอนกว่า 300,000 ตัน (มูลค่าคาร์บอนเครดิตประมาณ 55 ล้านบาท) ผลิตออกซิเจนเพียงพอสำหรับประชากรได้ถึง 335,000 คน และช่วยกรองฝุ่น PM 2.5 ทำให้คุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ปลอดภัยตลอดทั้งปี