“คนแบกกุ้ง” ขยายไลน์สินค้า-โรงงาน ตั้งเป้ารายได้ทะลุพันล้านปี 70
จากกิจการผลิตน้ำปลาของครอบครัวเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2497 โดยคุณพ่อบักเอี่ยมและลูกชาย บุ้งชอ แซ่โซว ได้ก่อตั้งโรงงานขนาดเล็ก เน้นการขายน้ำปลาบรรจุถังให้กับโรงงานและกลุ่มผู้บรรจุรายย่อย โดยใช้ “ไห” เป็นภาชนะ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น “ถัง” ขนาด 25-30 ลิตร ต่อมาในปี 2522 เมื่อกฎหมายด้านการผลิตอาหารและสุขลักษณะเข้มงวดขึ้น กลุ่มผู้บรรจุรายย่อยจำนวนมากปรับตัวไม่ทัน ทำให้หลายรายนำตราสินค้าของตนมาให้บริษัทบรรจุให้แทน ตลอดระยะเวลา 70 ปี วันนี้แบรนด์ “คนแบกกุ้ง” เป็นที่รู้จักและอยู่คู่ครัวของคนไทยหลายครอบครัว
นายกวิน ยงสวัสดิกุล” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท อุตสาหกรรมน้ำปลาระยอง จำกัด ผู้ผลิตน้ำปลา ภายใต้แบรนด์ “คนแบกกุ้ง” และ “หอยเป๋าฮื้อ” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า เส้นทาง 70 ปีของคนแบกกุ้งในวันนี้ จากโรงงานเล็กสู่ผู้ผลิตน้ำปลาแท้ชั้นนำของประเทศ พร้อมปรับกลยุทธ์จากผู้ผลิตเบื้องหลัง สู่การสร้างแบรนด์รุกตลาดค้าปลีกพรีเมียมและขยายส่งออก และตั้งเป้าหมายที่จะมีรายได้ 1,000 ล้านบาทในปี 2570 แม้ต้องฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจผันผวนและรับมือกับกฎหมายควบคุมโซเดียมที่เข้มงวดขึ้น
“ในยุคแรก เรามีตราสินค้าของเราเองคือ ‘ปลาทิพย์’ แต่กำลังการผลิตที่จำกัดทำให้เราขายได้เฉพาะกลุ่มเล็กๆ ในพื้นที่ การเติบโตของเราจึงมาจากการขายแบบถังและรับจ้างผลิต (OEM) ให้กับลูกค้ารายใหญ่ เช่น ซีพีคอนซูเมอร์ ภายใต้ตราปลา ‘คนแบกกุ้ง’ ซึ่งส่วนแรกของการบุกตลาดค้าปลีกคือการตีตลาด ‘ของฝาก’ ประจำจังหวัดระยอง ซึ่งเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อว่ามีน้ำปลาที่ดีที่สุดในไทย”
หลังเข้ามารับช่วงธุรกิจในปี 2533 และได้เผชิญกับความท้าทายมากมาย ในช่วงแรกยังคงเน้นการรับจ้างผลิตน้ำปลา รวมถึงแบรนด์ “คนแบกกุ้ง” จนกระทั่งราวปี 2550 บริษัทได้ตัดสินใจซื้อแบรนด์ “คนแบกกุ้ง” มาบริหารเองเพื่อทำตลาดอย่างเต็มตัว ปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจภายใต้ 2 แบรนด์หลักคือ น้ำปลา “คนแบกกุ้ง” และ “หอยเป๋าฮื้อ” ซึ่งสามารถกวาดรายได้ในปี 2567 ไปถึง 650 ล้านบาท
ตลาดน้ำปลาโดยรวมของประเทศไทยมีมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อปี และมีการส่งออกอีกประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท โดยกลุ่มน้ำปลาระดับพรีเมียมมีมูลค่าราว 1,000-1,500 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นโอกาสในการเติบโตที่สูง ส่วนตลาดแมสแบ่งเป็นกลุ่มระดับกลางประมาณ 6,000 ล้านบาท และระดับล่าง 3,000-4,000 ล้านบาท
“ปัจจุบันเราส่งออกประมาณ 25% และจำหน่ายในประเทศ 75% โดยมีเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนการส่งออกเป็น 30-40% ในอนาคต”
อย่างไรก็ตาม ความท้าทายหลักคือการที่บริษัทเข้าสู่ตลาดค้าปลีกช้ากว่าคู่แข่ง ทำให้ต้องออกแรงมากในการแย่งส่วนแบ่งตลาด โดยเน้นการเจาะช่องทางเฉพาะ เช่น ร้านอาหาร หรือกลุ่มลูกค้าพรีเมียมที่ใส่ใจในคุณภาพ
อีกหนึ่งความท้าทายสำคัญคือ กฎหมายและแนวโน้มการควบคุมปริมาณโซเดียมในเครื่องปรุงรส เช่น ภาษีความเค็ม ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมน้ำปลา ปัจจุบันกฎหมายพื้นฐานกำหนดโซเดียมขั้นต่ำไว้ที่ 200 มิลลิกรัมต่อลิตร หากมีการปรับลดลง ผู้ประกอบการต้องปรับสูตร โดยบริษัทเลือกที่จะลดโซเดียมเพียงอย่างเดียว ไม่เพิ่มโพแทสเซียมคลอไรด์ เพื่อให้เหมาะกับผู้บริโภคหลากหลายกลุ่มและหลีกเลี่ยงข้อจำกัดที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยโรคไต
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจใน 1-3 ปีข้างหน้า นายกวินตั้งเป้าให้บริษัทเติบโตสู่ระดับ “พันล้านบาท” ในปี 2570 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 15% ต่อปี ซึ่งเป็นการตั้งเป้าก่อนเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบันที่คาดว่าจะส่งผลกระทบมากขึ้น นอกจากการมุ่งเน้นธุรกิจน้ำปลาแล้ว บริษัทยังมีแผนขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น น้ำพริกน้ำจิ้ม, แจ่ว, และน้ำปลาหวาน รวมถึงแผนขยายโรงงานที่ระยอง เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและรองรับผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เหล่านี้ ปัจจุบันโรงงานหลักยังอยู่ที่ระยอง
นายกวินยอมรับว่า “ความคาดเดายากของภาวะตลาด” คือความท้าทายที่สุดในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปีในธุรกิจน้ำปลา เขาได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือเรื่องของระบบมาตรฐานต่างๆ ทั้งคุณภาพการผลิตและความปลอดภัยของอาหาร รวมถึงระบบสวัสดิการแรงงานที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งมองว่าเป็นข้อดีที่ทำให้ผู้ประกอบการต้องตระหนักถึงความปลอดภัยของอาหารมากขึ้น
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,109 วันที่ 29 มิถุนายน - 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2568